×
กล่าวถึงสัญญาณใหญ่ประการหนึ่งก่อนวันสิ้นโลก นั่นคือ การปรากฏตัวของดัจญาล อธิบายคุณลักษณะและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และระบุการเตรียมตัวเพื่อปกป้องตัวเองให้พ้นจากมัน พร้อมหลักฐานจากหะดีษ จากหนังสือ อัด-ดุร็อรฺ อัล-มุนตะกอฮฺ มิน อัล-กะลีมาต อัล-มุลกอฮฺ โดย ดร. อะมีน อัช-ชะกอวีย์

    ฟิตนะฮฺดัจญาล

    ﴿فتنة الدجال﴾

    ] ไทย – Thai – تايلاندي [

    ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

    แปลโดย : อับดุศเศาะมัด อัดนาน

    ผู้ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน

    ที่มา : หนังสือ อัด-ดุร็อรฺ อัล-มุนตะกอฮฺ มิน อัล-กะลีมาต อัล-มุลกอฮฺ

    2011 - 1432

    ﴿فتنة الدجال﴾

    « باللغة التايلاندية »

    د. أمين بن عبدالله الشقاوي

    ترجمة: عبدالصمد بن عدنان

    مراجعة: صافي عثمان

    المصدر: كتاب الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة

    2011 - 1432

    ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

    ฟิตนะฮฺดัจญาล

    การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ความเมตตาจำเริญและความศานติจงมีแด่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว โดยไม่มีภาคีหุ้นส่วนอันใดสำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่าท่านนบีมุหัมมัดคือบ่าวและศาสนทูตของพระองค์...

    อนึ่ง ฟิตนะฮฺที่น่ากลัวอีกประการหนึ่งซึ่งจะปรากฏขึ้นเมื่อใกล้วันสิ้นโลก ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บอกกล่าวให้ประชาชาติของท่านได้พึงระวัง นั่นคือ “ ฟิตนะฮฺดัจญาล"

    มีรายงานหะดีษจากท่านอิบนุ อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่า

    قَامَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي النَّاسِ فَأَثْنَى عَلَى اللَّهِ بِمَا هُوَ أَهْلُهُ ثُمَّ ذَكَرَ الدَّجَّالَ فَقَالَ: «إِنِّي أُنْذِرُكُمُوهُ وَمَا مِنْ نَبِيٍّ إِلَّا قَدْ أَنْذَرَهُ قَوْمَهُ، لَقَدْ أَنْذَرَهُ نُوحٌ قَوْمَهُ، وَلَكِنْ سَأَقُولُ لَكُمْ فِيهِ قَوْلًا لَمْ يَقُلْهُ نَبِيٌّ لِقَوْمِهِ، تَعْلَمُونَ أَنَّهُ أَعْوَرُ وَأَنَّ اللَّهَ لَيْسَ بِأَعْوَرَ»

    ความว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ลุกขึ้นท่ามกลางผู้คน แล้วกล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺด้วยการสรรเสริญที่คู่ควรแก่พระองค์ จากนั้นท่านก็กล่าวถึงดัจญาลว่า “ฉันขอเตือนท่านทั้งหลายให้พึงระวังต่อดัจญาล บรรดานบีทุกท่านต่างก็ได้เตือนกลุ่มชนของเขาให้ระวังจากมัน นบีนูหฺก็ได้เตือนพรรคพวกของท่านไว้แล้ว แต่ฉันจะบอกท่านทั้งหลายในสิ่งที่บรรดานบีเหล่านั้นมิได้บอกกล่าวแก่กลุ่มชนของพวกเขาเลย นั่นก็คือ แท้จริงตาของดัจญาลนั้นบอดข้างโผล่ออกมา แต่พระเนตรของอัลลอฮฺมิได้บอดข้าง" (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 6175 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 169)

    ท่านอิหม่ามอัส-สะฟารีนีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ผู้รู้จะต้องพูดถึงดัจญาลเป็นเนืองนิจเพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ ยิ่งในยุคปัจจุบันอันเป็นยุคสมัยที่เต็มไปด้วยฟิตนะฮฺ สิ่งดีๆ กลายเป็นสิ่งชั่ว แต่สิ่งที่ชั่วกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีเป็นที่ยอมรับ สุนนะฮฺเป็นบิดอะฮฺ และบิดอะฮฺกลายเป็นสุนนะฮฺ ลาเหาละวะลากูวะตะอิลลาฮฺบิลลาฮิลอะลียิลอะซีม" (ละวามิอุล อัน-วาร อัล-บะฮียะฮฺ :2/106-107)

    อนึ่ง...ดัจญาลเป็นเพียงสามัญชนธรรมดาคนหนึ่งจากลูกหลานนบีอาดัม ดั่งที่มีหะดีษหลายๆ บทได้กล่าวถึงคุณลักษณะของดัจญาลเพื่อที่จะให้ผู้คนได้รู้จัก และเพื่อจะได้ระมัดระวังตนเองจากความเลวร้ายของมัน เมื่อใดที่บรรดามุอ์มินเห็นมันออกมาก็จะรู้จักทันทีและจะไม่ถูกหลอกลวงจากดัจญาล คุณลักษณะบางประการของดัจญาล คือ ผิวหนังคล้ำอมแดง ร่างเตี้ย หน้าตาอัปลักษณ์ ผมหยิก ตาด้านขวาบอดโผล่ออกมาเหมือนกับผลองุ่น เขียนที่หน้าผากระหว่างตาทั้งสองข้างว่า (كافر) หมายถึงผู้ปฏิเสธศรัทธา มุสลิมทุกคนจะอ่านได้ทั้งคนที่อ่านหนังสือออกหรืออ่านไม่ออก ดัจญาลจะเป็นหมันไม่มีลูก

    ดัจญาลจะโผล่ออกมาทางทิศตะวันออกจากแคว้นคุรอซาน จะมีบรรดาชาวยะฮูดีย์จากเมืองอัศบะฮาน(เมืองหนึ่งในประเทศอิหร่านปัจจุบัน)เชื่อและติดตามเขาถึงเจ็ดหมื่นคน อิบนุ กะษีรฺ กล่าวว่า “ดัจญาลจะเริ่มโผล่ออกมาจากชานเมืองอัศบะฮาน สถานที่ที่เขาเรียกกันว่ายะฮูดียะฮฺ ชาวยะฮูดจากที่นั่นให้การสนับสนุนเขาถึงเจ็ดหมื่นคน พวกเขามีอาวุธยุโทปกรณ์และผ้าคลุมหัวสีเขียว(ผ้าคลุมที่พวกยิวใช้วางบนหัว) อีกทั้งยังมีพวกตาตาร์อีกเจ็ดหมื่นคน รวมทั้งชาวคุรอซานอีกจำนวนมาก ในตอนแรกดัจญาลจะมาในฐานะกษัตริย์องค์หนึ่ง ต่อมาได้อ้างตนเป็นศาสดาและสุดท้ายได้ทำตัวเป็นพระเจ้า ลูกหลานนบีอาดัมที่เขลาๆ บรรดาผู้นำที่ชั่วๆ และสามัญชนทั่วๆ ไปจะเชื่อฟังและภักดีต่อเขา นอกจากปวงบ่าวที่ดีของอัลลอฮฺและบรรดามุตตะกีนผู้ยำเกรงเท่านั้นที่ต่อต้านและคัดค้านเขา พวกเขาต่างหนีห่างจากดัจญาลไปหลบซ่อนยังภูเขา และดัจญาลจะออกเดินทางไปยังทุกหนทุกแห่ง ยกเว้นมักกะฮฺและมะดีนะฮฺเท่านั้นที่มันไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะอัลลอฮฺได้ให้เป็นเขตหวงห้ามสำหรับมัน ทั้งยังมะลาอิกะฮฺคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา" (อัล-บิดายะฮฺ วะ อัน-นิฮายะฮฺ 19/205)

    อนึ่ง...ฟิตนะฮฺดัจญาลเป็นฟิตนะฮฺที่น่ากลัวมากที่สุด อันเนื่องมาจากอัลลอฮฺได้ให้มันมีพลังอำนาจอย่างอัศจรรย์มากมายหลายอย่างที่ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ดังที่มีรายงานว่าดัจญาลจะมีสวรรค์และนรกเป็นของมันเอง ซึ่งสวรรค์ของมันก็คือนรก และนรกของมันก็คือสวรรค์ มันมีแม่น้ำและภูเขาขนมปัง เมื่อมันออกคำสั่งแก่ท้องฟ้าก็จะหลั่งน้ำฝนลงมา และสั่งให้พื้นดินมีพืชพันธุ์งอกเงยออกมา และคลังสมบัติของโลกนี้จะติดตามมันไปด้วย

    ดัจญาลจะเดินผ่านสถานที่ต่างๆ ไปอย่างรวดเร็วดั่งสายฝน จะมีสายลมตามหลังมันมา และยังมีสิ่งที่น่าทึ่งอีกมากมายที่ดัจญาลทำให้มันปรากฏขึ้น สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาล้วนมีคำยืนยันในหะดีษที่เศาะฮีหฺ เพื่อที่อัลลอฮฺจะได้ทดสอบความศรัทธาของมวลมนุษย์ มีหะดีษจากหุซัยฟะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้กล่าวว่า

    «لَأَنَا أَعْلَمُ بِمَا مَعَ الدَّجَّالِ، مِنْهُ : مَعَهُ نَهْرَانِ يَجْرِيَانِ أَحَدُهُمَا رَأْيَ الْعَيْنِ مَاءٌ أَبْيَضُ وَالْآخَرُ رَأْيَ الْعَيْنِ نَارٌ تَأَجَّجُ، فَإِمَّا أَدْرَكَنَّ أَحَدٌ فَلْيَأْتِ النَّهْرَ الَّذِي يَرَاهُ نَارًا وَلْيُغَمِّضْ ثُمَّ لْيُطَأْطِئْ رَأْسَهُ فَيَشْرَبَ مِنْهُ فَإِنَّهُ مَاءٌ بَارِدٌ، وَإِنَّ الدَّجَّالَ مَمْسُوحُ الْعَيْنِ عَلَيْهَا ظَفَرَةٌ غَلِيظَةٌ مَكْتُوبٌ بَيْنَ عَيْنَيْهِ كَافِرٌ يَقْرَؤُهُ كُلُّ مُؤْمِنٍ كَاتِبٍ وَغَيْرِ كَاتِبٍ» رواه مسلم

    ความว่า “ฉันรู้ดีเกี่ยวกับสิ่งที่ดัจญาลทำได้ ส่วนหนึ่งก็คือเขามีแม่น้ำสองสาย สายหนึ่งมีน้ำใสบริสุทธิ์และอีกสายเป็นแม่น้ำไฟที่ลุกโชติช่วง หากผู้ใดในกลุ่มพวกเจ้ามีโอกาสมาเจอกับดัจญาล ให้เขาไปยังแม่น้ำสายที่เห็นเป็นไฟเถิด ปิดตาแล้วก้มลงดื่มน้ำในแม่น้ำนั้นเพราะแท้จริงมันเป็นน้ำที่เย็นชื่นใจ และแท้จริงลูกตาของดัจญาลจะบอดโผล่ออกมาเหมือนเนื้องอก มีคำเขียนระหว่างตาทั้งสองข้างว่า (كافر) ซึ่งมุอ์มินทุกคนจะอ่านได้ ทั้งคนที่รู้หนังสือและไม่รู้หนังสือก็ตาม" (รายงานโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ 2934)

    มีรายงานหะดีษจากเนาวาส บิน สัมอาน ว่า

    قُالوا : يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا لَبْثُهُ فِي الْأَرْضِ؟، قَالَ: أَرْبَعُونَ يَوْمًا، يَوْمٌ كَسَنَةٍ، وَيَوْمٌ كَشَهْرٍ، وَيَوْمٌ كَجُمُعَةٍ، وَسَائِرُ أَيَّامِهِ كَأَيَّامِكُمْ»، قُلْنَا : يَا رَسُولَ اللَّهِ فَذَلِكَ الْيَوْمُ الَّذِي كَسَنَةٍ أَتَكْفِينَا فِيهِ صَلَاةُ يَوْمٍ؟ قَالَ : «لَا، اقْدُرُوا لَهُ قَدْرَهُ»، قُلْنَا : يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا إِسْرَاعُهُ فِي الْأَرْضِ؟، قَالَ: «كَالْغَيْثِ اسْتَدْبَرَتْهُ الرِّيحُ، فَيَأْتِي عَلَى الْقَوْمِ فَيَدْعُوهُمْ فَيُؤْمِنُونَ بِهِ وَيَسْتَجِيبُونَ لَهُ، فَيَأْمُرُ السَّمَاءَ فَتُمْطِرُ وَالْأَرْضَ فَتُنْبِتُ، فَتَرُوحُ عَلَيْهِمْ سَارِحَتُهُمْ أَطْوَلَ مَا كَانَتْ ذُرًا وَأَسْبَغَهُ ضُرُوعًا وَأَمَدَّهُ خَوَاصِرَ، ثُمَّ يَأْتِي الْقَوْمَ فَيَدْعُوهُمْ فَيَرُدُّونَ عَلَيْهِ قَوْلَهُ فَيَنْصَرِفُ عَنْهُمْ فَيُصْبِحُونَ مُمْحِلِينَ لَيْسَ بِأَيْدِيهِمْ شَيْءٌ مِنْ أَمْوَالِهِمْ، وَيَمُرُّ بِالْخَرِبَةِ فَيَقُولُ لَهَا أَخْرِجِي كُنُوزَكِ فَتَتْبَعُهُ كُنُوزُهَا كَيَعَاسِيبِ النَّحْلِ، ثُمَّ يَدْعُو رَجُلًا مُمْتَلِئًا شَبَابًا فَيَضْرِبُهُ بِالسَّيْفِ فَيَقْطَعُهُ جَزْلَتَيْنِ رَمْيَةَ الْغَرَضِ، ثُمَّ يَدْعُوهُ فَيُقْبِلُ وَيَتَهَلَّلُ وَجْهُهُ يَضْحَكُ، فَبَيْنَمَا هُوَ كَذَلِكَ إِذْ بَعَثَ اللَّهُ الْمَسِيحَ ابْنَ مَرْيَمَ فَيَنْزِلُ عِنْدَ الْمَنَارَةِ الْبَيْضَاءِ شَرْقِيَّ دِمَشْقَ بَيْنَ مَهْرُودَتَيْنِ وَاضِعًا كَفَّيْهِ عَلَى أَجْنِحَةِ مَلَكَيْنِ، إِذَا طَأْطَأَ رَأْسَهُ قَطَرَ وَإِذَا رَفَعَهُ تَحَدَّرَ مِنْهُ جُمَانٌ كَاللُّؤْلُؤِ، فَلَا يَحِلُّ لِكَافِرٍ يَجِدُ رِيحَ نَفَسِهِ إِلَّا مَاتَ وَنَفَسُهُ يَنْتَهِي حَيْثُ يَنْتَهِي طَرْفُهُ، فَيَطْلُبُهُ حَتَّى يُدْرِكَهُ بِبَابِ لُدٍّ فَيَقْتُلُهُ، ثُمَّ يَأْتِي عِيسَى ابْنَ مَرْيَمَ قَوْمٌ قَدْ عَصَمَهُمْ اللَّهُ مِنْهُ فَيَمْسَحُ عَنْ وُجُوهِهِمْ وَيُحَدِّثُهُمْ بِدَرَجَاتِهِمْ فِي الْجَنَّةِ»

    ความว่า

    บรรดาเศาะหาบะฮฺ ได้กล่าวถามท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า “ดัจญาลจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้นานเท่าไหร่ครับท่าน? “

    เราะสูลุลลอฮฺ “มันจะอยู่นานถึง 40 วัน วันแรกมีความยาวนานเหมือนกับหนึ่งปี วันที่สองยาวนานเหมือนกับหนึ่งเดือน อีกวันยาวนานเหมือนกับหนึ่งสัปดาห์ ส่วนวันที่เหลือก็เหมือนๆ กับวันปกติของพวกท่าน"

    บรรรดาเศาะหาบะฮฺ “หนึ่งวันที่ยาวนานเหมือนกับหนึ่งปี พวกเราจะละหมาดเพียงวันเดียวหรือครับท่าน ?"

    เราะสูลุลลอฮฺ “ไม่ได้ แต่พวกท่านต้องคาดคะเนตามเวลาปกติเอาเอง"

    บรรรดาเศาะหาบะฮฺ “แล้วความเร็วของดัจญาลเป็นอย่างไรหรือครับท่าน?"

    เราะสูลุลลอฮฺ “รวดเร็วดั่งสายฝนที่มีสายลมพัดพามา มันมาเรียกร้องชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกเขาตอบรับศรัทธาต่อมัน ดัจญาลจึงสั่งให้ท้องฟ้าหลั่งน้ำฝนลงมา สั่งให้แผ่นดินงอกพืชพันธุ์ออกมาให้แก่พวกเขา

    หลังจากนั้นมันได้มาเรียกร้องชนอีกกลุ่มหนึ่งแต่พวกเขาปฏิเสธ เมื่อวันรุ่งขึ้นทรัพย์สินของพวกเขาไม่เหลือแม้แต่น้อย พื้นดินที่เคยสดชื่นกลับแห้งแล้ง

    เมื่อดัจญาลผ่านมายังพื้นที่แห้งแล้งแห่งหนึ่ง เขาจึงมีคำสั่งว่าเจ้าจงคายทรัพย์ในตัวของเจ้าออกมา แล้วทุกสิ่งก็ทะลักออกมามีเสียงดังหึ่งเหมือนเสียงฝูงผึ้งบิน แล้วเขาได้เรียกเด็กหนุ่มคนหนึ่งออกมาแล้วฆ่าเขาและตัดเขาออกเป็นสองท่อน หลังจากนั้นเขาเรียกเด็กคนดังกล่าว เด็กก็มาหาเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ในขณะนั้นเองอัลลอฮฺได้ส่งท่านนบีอีซาลงมายังปราสาทขาวทางทิศเหนือของซีเรีย สวมเสื้อผ้าสองชั้น วางมือบนปีกของมะลาอิกะฮฺสองท่าน หากท่านก้มศีรษะลงจะมีหยดน้ำตกลงมา แต่เมื่อท่านเงยขึ้นก็จะเห็นน้ำหยดลงมาดั่งเม็ดไข่มุก ผู้ปฏิเสธ (กาฟิร) ที่ได้กลิ่นหายใจของท่านจะสิ้นลมหายใจทันที และลมหายใจของท่านจะไปถึงสุดสายตา ท่านจะตามหาล่าดัจญาล จนกระทั่งมาถึงสถานที่ใกล้กับบัยตุลมักดิสซึ่งมีชื่อว่า “บาบ ลุดด์" (ประตู ลุดด์) ในที่สุดท่านก็สามารถฆ่าดัจญาลได้ ณ สถานที่ตรงนั้น

    ต่อมาท่านนบีอีซาได้มาหากลุ่มชนที่ได้รับการคุ้มครองจากดัจญาล ท่านได้ลูบใบหน้าของพวกเขา (เพื่อความศิริมงคล หรืออีกความหมายหนึ่งคือใบหน้าของพวกเขาเบิกบานเมื่อทราบข่าวการตายของดัจญาล) แล้วท่านได้กล่าวถึงการตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับในสวรรค์" (รายงานโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ 2937)

    การขอความคุ้มครองและปกป้องจากฟิตนะฮฺดัจญาล

    หนึ่ง ยึดมั่นต่ออัลกุรอานและสุนนะฮฺ ศึกษาเกี่ยวกับพระนามอันวิจิตรของอัลลอฮฺ และคุณลักษณะที่สมบูรณ์ของพระองค์ เมื่อนั้นแหล่ะท่านจะรู้ว่า ดัจญาลเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งที่กินและดื่มซึ่งพระเจ้าไม่มีพฤติกรรมดังกล่าว ดวงตาข้างหนึ่งของดัจญาลจะโผล่ออกมา แต่พระเนตรของอัลลอฮฺไม่มีลักษณะเช่นนั้น ไม่มีใครเห็นพระเจ้าของเขาได้ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป แต่เมื่อตอนที่ดัจญาลมาทั้งมุอ์มินและกาฟิรฺสามารถมองเห็นเขาได้

    สอง กล่าวขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้รอดพ้นจากฟิตนะฮฺของดัจญาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะละหมาด มีหะดีษจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบี บีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

    «إِذَا تَشَهَّدَ أَحَدُكُمْ فَلْيَسْتَعِذْ بِاللَّهِ مِنْ أَرْبَعٍ، يَقُولُ : اللهم إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ عَذَابِ جَهَنَّمَ، وَمِنْ عَذَابِ الْقَبْرِ، وَمِنْ فِتْنَةِ الْمَحْيَا وَالْمَمَاتِ، وَمِنْ شَرِّ فِتْنَةِ الْمَسِيحِ الدَّجَّالِ»

    ความว่า “ เมื่อผู้ใดในกลุ่มพวกเจ้าได้กล่าวตะชะฮุด เขาจงขอความคุ้มครองจากสี่ ประการด้วยกัน คือ จากการลงโทษในไฟนรกญะฮันนัม จากการลงโทษในหลุมฝังศพ จากฟิตนะฮฺแห่งชีวิตในโลกดุนยาและชีวิตหลังความตาย และจากความชั่วร้ายอันเนื่องจากฟิตนะฮฺของดัจญาล (รายงานโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ 588)

    สาม ศึกษาหะดีษที่บอกกล่าวเกี่ยวกับดัจญาล เช่นคุณลักษณะของมัน เวลาที่มันออกมา สถานที่มันออกมา การรอดพ้นจากมัน จากตำรับตำราที่พูดถึงในเรื่องนี้ อาทิ อัน-นิฮายะฮฺ ของอิบนุ กะษีรฺ, อิตหาฟ อัล-ญะมาอะฮฺ ของเชค อัต-ตุวัยญิรีย์, อัชรอฏ อัส-สาอะฮฺ ของ อัล-วาบิล เป็นต้น เพื่อที่จะได้รู้จักและหลีกห่างจากมัน

    สี่ ท่องจำโองการอัลกุรอานในช่วงต้นของซูเราะฮฺ อัล-กะฮฺฟิ มีรายงานจากหะดีษของ อบู อัด-ดัรดาอ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า

    أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: «مَنْ حَفِظَ عَشْرَ آيَاتٍ مِنْ أَوَّلِ سُورَةِ الْكَهْف، عُصِمَ مِنْ الدَّجَّالِ وفي رواية : مِنْ آخِرِ الْكَهْفِ»

    ความว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า “บุคคลใดที่เขาท่องจำโองการต้นๆของซูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ เขาจะได้รับการคุ้มครองให้รอดพ้นจากดัจญาล" บางรายงานบอกว่า “ช่วงสุดท้ายของซูเราะฮฺ" (รายงานโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ 809 )

    อิมาม อัน-นะวะวีย์ ได้อธิบายในบทอธิบายเศาะฮีหฺมุสลิม (เล่ม2 หน้า 92-93) ว่า สาเหตุที่มันสามารถปกป้องจากดัจญาลได้ก็เพราะว่า ต้นสูเราะฮฺนี้กล่าวถึงความมหัศจรรย์และเครื่องหมายต่างๆ ที่ถ้าหากผู้ใดใคร่ครวญแล้วเขาก็จะไม่หลงกลกับการหลอกลวงของดัจญาล เช่นเดียวกับท้ายสูเราะฮฺ ที่พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

    ﮋ ﮃ ﮄ ﮅ ﮆ ﮇ ﮈ ﮉ ﮊ ﮋﮌ ﮍ ﮎ ﮏ ﮐ ﮑ ﮒ ﮊ الكهف: ١٠٢

    ความว่า “บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้คิดแล้วหรือว่าพวกเขาจะยึดเอาปวงบ่าวของข้าอื่นจาก ข้าเป็นผู้คุ้มครองได้ แท้จริงเราได้เตรียมนรกญะฮันนัมไว้เป็นที่พำนักสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว" (อัล-กะฮฺฟิ 102)

    ห้า วิ่งหนีออกห่างจากดัจญาล หลีกเลี่ยงจากมันและทางที่ดีที่สุด คือการไปอาศัยที่เมืองมักกะฮฺและมะดีนะฮฺ ซึ่งท่านเองได้บอกกล่าวว่าดัจญาลไม่สามารถเข้าเมืองทั้งสองได้ สมควรแก่บรรดามุสลิมทั้งหลายจะต้องหลีกเลี่ยงจากดัจญาล เพราะว่ามันมีของแปลกประหลาดต่างๆ มามากมายที่อัลลอฮฺกำหนดให้มันสามารถใช้หลอกลวงคนให้ติดกับและหลงกลได้ มันจะหลอกลวงคนอื่นแม้ว่าคนผู้นั้นจะคิดว่าตัวเองยืนหยัดและมีความศรัทธาอย่างหนักแน่นก็ตามที สุดท้ายก็ต้องหลงกลมัน มีหะดีษจากอิมรอน บิน อัล-หุศ็อยนฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า

    «منْ سَمِعَ بِالدَّجَّالِ فَلْيَنْأَ عَنْهُ، فَوَاللَّهِ إِنَّ الرَّجُلَ لَيَأْتِيهِ وَهُوَ يَحْسِبُ أَنَّهُ مُؤْمِنٌ فَيَتَّبِعُهُ مِمَّا يَبْعَثُ بِهِ مِنْ الشُّبُهَاتِ، أَوْ لِمَا يَبْعَثُ بِهِ مِنْ الشُّبُهَاتِ» هَكَذَا قَالَ .

    ความว่า “ ผู้ใดที่ได้รับทราบเกี่ยวกับการมาของดัจญาล เขาจงเลี่ยงให้ไกลเถิดขอสาบานด้วยอัลลอฮฺว่า แท้จริง จะมีคนที่เข้าไปหามัน โดยที่เขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้ศรัทธาหนักแน่น(ไม่หลงกลง่ายๆ) แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จะเชื่อฟังปฏิบัติตามต่อความคลุมเครือที่ดัจญาลนำมา" (อบู ดาวูด 4319)

    เราขอต่ออัลลอฮได้โปรดให้บรรดาพี่น้องมุสลีมีนและมุสลีมะฮฺทุกคนรอดพ้นจากฟิตนะฮฺของดัจญาลด้วยเถิด อามีน

    والحمد لله رب العالمين، وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين.