×
บทความที่ตอบความคลุมเครือบางประเด็น ซึ่งเป็นข้อสงสัยของบางกลุ่มที่โจมตีและทําลายภาพพจน์อันดีงามของอิสลาม เกี่ยวกับการทำงานของสตรีในอิสลาม คัดมาจากหนังสือ สถานะของสตรีภายใต้ร่มเงาอิสลาม โดย อับดุรเราะห์มาน อัชชีหะฮฺ

 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำงานของผู้หญิง

﴿شبهة حول عمل المرأة﴾

] ไทย – Thai – تايلاندي [

อับดุรเราะห์มาน บิน อับดุลกะรีม อัช-ชีหะฮฺ

แปลโดย : อิบรอฮีม มุฮัมมัด

ผู้ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน

ที่มา : หนังสือฐานะของสตรีใต้ร่มเงาอิสลาม

2010 - 1431

﴿شبهة حول عمل المرأة﴾

« باللغة التايلاندية »

عبدالرحمن بن عبدالكريم الشيحة

ترجمة: إبراهيم محمد

مراجعة: صافي عثمان

المصدر: كتاب المرأة في ظل الإسلام

2010 - 1431

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำงานของผู้หญิง

อัลลอฮฺ ซุบฮานาฮูวะตาอาลา ได้ทรงสร้างมนุษย์เป็นเพศชายและเพศหญิง และทรงได้สร้างความรักใคร่ และความเมตตาระหว่างเพศทั้งสอง นั่นเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความร่วมมือในการสร้างสรรค์ความเป็นอยู่ของพวกเขา อัลลอฮฺได้ทรงบรรจงสร้างผู้ชายให้มีความแข็งแกร่งด้านร่างกาย ความสามารถแบกรับในภาคอุตสาหะและทำงานหนัก พระองค์ก็ทรงบรรจงสร้างเพศหญิงให้มีสรีสระที่ต้องรับการตั้งครรภ์ การให้นม เลี้ยงดูลูก และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความห่วงใย ความเมตตา ฉะนั้นด้วยโครงสร้างที่พระผู้อภิบาลทรงสร้างข้างต้น เป็นธรรมชาติของผู้ชายที่จะต้องทำงานนอกบ้าน และเป็นธรรมชาติของผู้หญิงที่ทำงานในบ้าน

จริงๆ แล้ว อิสลามไม่ได้ห้ามผู้หญิงทำงาน หากแต่ยอมรับการซื้อขาย การทำธุรกรรมต่างๆ ของสตรี และยอมรับความถูกต้องของการซื้อขายนั้นโดยไม่ต้องรออนุมัติจากผู้ปกครองหรือสามีแต่อย่างใด เพียงแต่มีการจัดระเบียบ มีข้อกำหนด มีกฎกติกาและวางเงื่อนไขไว้ว่า หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งก็จะกลายเป็นที่ต้องห้าม ดังต่อไปนี้

1. งานที่ทำจะต้องไม่ชนกับงานในบ้าน โดยงานที่ทำนั้นจะไม่เป็นสาเหตุของความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของนางที่มีต่อสามี และต่อลูก ๆ ของนาง และไม่ทำให้เกียรติของนางภายในบ้านต้องเสียไป เพราะผู้หญิงในอิสลามนั้น อย่างที่กล่าวมาแล้วขั้นต้น คือ สามีมีหน้าที่ต่อนาง นางก็มีหน้าที่ต่อสามีด้วยเช่นกัน และนางยังมีหน้าที่ต่อลูกๆ อีกด้วย

ท่านศาสนทูต (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า “....และสตรีคือผู้ดูแลภายในบ้านสามีของนาง และนางต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่นางดูแล...[1]

2. ต้องเป็นงานที่ทำร่วมกับเพศเดียวกัน ห่างไกลการปะปนและคลุกคลีกับเพศชาย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันให้เธอห่างไกลจากสิ่งที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เธอตกเป็นเหยื่อ และพลาดพลั้งต่ออารมณ์ใฝ่ต่ำของเพศชายซึ่งไม่ใช่สามีของตน และความสูญเสียในเกียรติของเธอจากหลุมพรางอันชั่วร้าย

ท่านศาสนทูต (ขอความสันติและความสงบสุขมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า “เจ้าอย่าได้อยู่กับผู้หญิงแบบสองต่อสอง เพราะจะมีซาตานเป็นบุคคลที่สาม” [2]

นักเขียนชาวอังกฤษ เลดี้ โค้ค ได้เขียนในหนังสือพิมพ์ อีโก้ [3]ว่า :

การอยู่ปะปนชายหญิงนั้นเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชาย และผู้หญิงเองก็ละโมบที่จะทำอะไรให้ผิดแผกแตกต่างจากธรรมชาติของเธอ ตราบใดที่มีการอยู่ปะปนระหว่างชายหญิงมากเท่าใด บุตรนอกสมรสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และนี่คือ ความหายนะอันใหญ่หลวง...

ซัยยิด กุฏุบ (ขออัลลอฮฺประทานความเมตตาแก่ท่าน) กล่าวว่า[4] :

“แท้จริงแล้ว สิทธิของผู้ชายและของผู้หญิงคือ การที่แต่ละคนจากทั้งสองต่างวางใจอีกฝ่ายหนึ่ง และไม่ควรคบหากันในฐานะเพื่อนใกล้ชิด เพราะบางทีความรู้สึกของเธอหรือเขาอาจจะโน้มเอียงไปยังเพื่อนดังกล่าวได้ แม้นว่าการโน้มเอียงที่ว่านี้จะไม่ทําให้เธอหรือเขาถึงขั้นกระทำความผิดร้ายแรงก็ตาม แต่ก็เป็นเหตุให้เสื่อมความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ระหว่างกันหรืออาจจะทําลายบรรยากาศการไว้วางใจและความเชื่อมั่นที่มีต่อกัน หรือด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมอาจก่อให้เกิดความรู้สึกจนเกินเลยขอบเขต นำไปสู่การตกหลุมพรางแห่งความสัมพันธ์ที่ไม่ชอบธรรมและยังทิ้งร่องรอยที่ไม่ดีเกินการคาดเดาได้ในทุกวินาที ดังที่เราพบเห็นในสังคมซึ่งนิยมการปะปนกันระหว่างชายหญิง เราจะเห็นได้ว่าผู้หญิงในสังคมนั้นจะเดินออกจากบ้านในลักษณะที่นางแต่งตัวโอ้อวดเปลือยร่างและถูกตามด้วยเหล่ามารร้ายที่คอยหลอกลวงนาง สําหรับใครที่พยายามจะกล่าวว่า การปะปนกันหญิงชายจะช่วยขัดเกลาความรู้สึกที่มีต่อกัน ช่วยกระตุ้นพลังที่หายไป ช่วยเสริมสร้างมารยาทในการพูดคุยของสองบุคคลและมารยาทในการคลุกคลี เพิ่มพูนประสบการณ์ที่พอจะป้องกันการหกล้ม และการเลือกคู่ที่อยู่บนรากฐานแห่งประสบการณ์การรู้จักซึ่งกันอย่างสมบูรณ์เท่านั้น(แม้ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ผิดๆ ก็ตาม)ที่จะรับประกันได้ว่าสามารถครองคู่ได้อย่างยืดยาวถาวร เพราะเป็นการเลือกที่มาจากความพอใจและประสบการณ์จริงของทั้งสอง ฉันขอตอบว่า ทั้งหมดคือคําพูดที่ไร้สาระไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง สภาพความเป็นจริงนั้นโน้มเอียงไปยังหนทางที่ไม่ถูกต้องเรื่อยๆ การสับสนด้านจิตสํานึกและความรัก และการทําลายครอบครัวด้วยการหย่าร้างและด้วยวิธีอื่น การหลอกลวงและการทุจริตต่อชีวิตของสามีภรรยาเป็นเรื่องที่รู้จักทั่วไปในสังคม ถ้าจะเอ่ยถึงระบบการขัดเกลาที่อ้างมาหรือการมีความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ด้วยวิธีการนัดพบหรือพูดคุยกันแล้วล่ะก็ จงสืบถามข้อเท็จจริงเหล่านี้จากจํานวนนักเรียนที่ตั้งท้องในโรงเรียนมัธยมปลายอเมริกาแห่งหนึ่ง ซึ่งบางโรงเรียนมีจํานวนถึง48% ของเด็กนักเรียนที่ตั้งท้อง ส่วนการใช้ชีวิตครอบครัวที่แสนสุขหลังจากการแต่งงานโดยผ่านวิธีการปะปนชายหญิงหรือผ่านระบบการคบหากันเพื่อลองใจกัน ก็จงสืบถามข้อเท็จจริงเหล่านี้จากสถิติการล่มสลายของครอบครัวเพราะการหย่าร้างในอเมริกา ซึ่งสติถิเหล่านี้เพิ่มจํานวนขึ้นเป็นระยะๆ ตามระดับความรุนแรงของการปะปนชายหญิงและการเลือกคู่ด้วยการลองเป็นแฟนกันมาก่อน”

3. ต้องเป็นงานที่อนุมัติโดยพื้นฐาน และต้องเป็นงานที่เหมาะสมกับธรรมชาติของผู้หญิง ดังนั้น เธอจะต้องไม่ทำงานที่ไม่เหมาะกับธรรมชาติของเธอ อย่างเช่น งานอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานหนักๆ หรืองานในสนามรบที่ใช้เวลายาวนาน และงานที่หักโหมเกินไปสำหรับนาง เช่น งานทำความสะอาดที่เหมาะเฉพาะผู้ชาย และงานทำความสะอาดถนนหนทาง เป็นต้น ซึ่งเป็นงานที่อิสลามได้ห้ามไว้สำหรับสตรี

แต่ในที่นี้เราจะถามกลับว่า ทำไมผู้หญิงต้องทำงานด้วยล่ะ?

หากนางทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ และเพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นส่วนตัวของนางแล้วไซร้ อิสลามได้รักษาสิทธินี้ของนางไว้แล้ว ซึ่งระบบการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในอิสลาม คือ พ่อจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายของลูกสาวจนกว่าเธอจะแต่งงาน เมื่อเธอแต่งงาน สามีจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของเธอและของลูกๆ ของเธอทั้งหมด เมื่อสามีของเธอเสียชีวิตความรับผิดชอบนี้จะกลับสู่พ่อเธออีกครั้ง ถ้าหากเธอไม่มีพ่อแล้ว ลูกของเธอจะรับผิดชอบแทน หากลูกของเธอยังเล็กอยู่ พี่น้องของเธอต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ต่อ จากนั้นก็ญาติที่ใกล้ชิดที่สุด แล้วก็ญาติที่ใกล้ชิดที่สุดในขั้นต่อๆ ไป ซึ่งจากวันที่เธอเกิดจนถึงวันที่เธอจากโลกนี้ไป เป็นที่รับประกันแล้วว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเธอเองเลย นอกเสียจากว่า เธอทำไปเพื่อภารกิจทางสังคมที่เธอได้รับมอบหมายและเป็นงานที่สังคมคาดหวังจากเธอ และงานที่คล้ายๆ กัน อาทิ การดูแลบ้านและงานดูแลเด็ก เพื่อให้การดูแลสามารถทำได้อย่างถูกต้อง เธอต้องใช้ความพยายามและแบกรับความยากลำบากอันใหญ่หลวงนัก ซึ่งจำเป็นจะต้องจัดสรรเวลา และความคิดให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ด้วย

แซมมวล สไมลัส นักวิชาการชาวอังกฤษซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฟื้นฟูวิทยาการประเทศอังกฤษ กล่าวว่า [5]

“ระบบที่ให้ผู้หญิงหมกมุ่นในที่ทำงานนั้นเป็นระบบที่รัฐมีเงินมากมายก็จริง แต่ผลของมันทำให้ชีวิตครอบครัวพังทลาย เพราะมันไปทำลายโครงสร้างบ้านเรือน และทําลายรากฐานของสถาบันครอบครัว และคลายข้อผูกมัดในการอยู่ร่วมกัน เพราะมันทำให้เกิดการแย่งความเป็นภรรยาจากสามีไป และความเป็นลูกจากผู้ที่ใกล้ชิดไป ทำให้เป็นอีกรูปแบบเฉพาะตัวซึ่งไม่มีผลใดๆ นอกจากความตกต่ำทางศีลธรรมของผู้หญิง เพราะจริงๆแล้วหน้าที่ของผู้หญิงก็คือทำงานที่จำเป็นต่างๆ ภายในบ้าน เช่น จัดบ้านให้เป็นระเบียบ อบรมเลี้ยงดูลูกๆ และบริหารค่าใช้จ่ายภายในบ้านเพื่อสามารถพักอาศัยได้อย่างปกติสุข โดยทำพร้อมกับงานที่จำเป็นภายในบ้านทั้งหลาย แต่ถ้าหากเธอละเลยจากการทำงานเหล่านี้ โดยปล่อยให้ภายในบ้านไม่เป็นเหมือนบ้าน และลูกๆ ก็เติบโตอย่างไร้การอบรมเลี้ยงดูและพวกเขาถูกละเลย ความรักระหว่างสามีภรรยาถูกดับมอด ผู้หญิงจะออกจากความเป็นภรรยาที่ดีที่เป็นที่รักของสามีและเธอกลายเป็นแค่เพื่อนในการทำงานและคนรักของเขา และบังคับให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลต่างๆ ซึ่งส่วนมากแล้วสร้างข้อบกพร่องต่อความคิดถ่อมตัวของเธอ และอุปนิสัยอันทรงเกียรติของเธอ”

[1] เศาะฮีฮฺบุคอรีย์ เล่มที่ 1หน้าที่ 304 หมายเลข 853

[2] เศาะฮีฮฺ อิบนิ หิบบาน เล่มที่ 16 หน้าที่ 239 หมายเลข 7254

[3] อะมะลุล มัรอะตี ฟิลมีซาน . เขียนโดย อับดุลเลาะฮฺ บิน วะกีล อัช-ชัยค์

[4] ในหนังสือ อัสสลามุลอาละมีย์ วัล อิสลาม หน้าที่ 56

[5] ดูในหนังสือ นะเซาะรอต ฟี กิตาบิลฮิญาบ วัสสุฟูร เขียนโดย มุสตอฟา อัลเฆาะลายีนีย์ หน้า 94 - 95