ข้อคิดจากอายะฮฺ 169 สูเราะฮฺ อาลอิมรอน
หมวดหมู่
Full Description
ข้อคิดจากอายะฮฺ:
﴿ وَلَا تَحۡسَبَنَّ ٱلَّذِينَ قُتِلُواْ فِي سَبِيلِ ٱللَّهِ أَمۡوَٰتَۢاۚ بَلۡ أَحۡيَآءٌ عِندَ رَبِّهِمۡ يُرۡزَقُونَ ﴾
] ไทย – Thai – تايلاندي [
ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์
แปลโดย : อุศนา พ่วงศิริ
ตรวจทานโดย : อัสรัน นิยมเดชา
ที่มา : หนังสือ อัด-ดุร็อรฺ อัล-มุนตะกอฮฺ มิน อัล-กะลีมาต อัล-มุลกอฮฺ
2012 - 1433
﴿وقفة مع قوله تعالى: وَلَا تَحۡسَبَنَّ ٱلَّذِينَ قُتِلُواْ فِي سَبِيلِ ٱللَّهِ أَمۡوَٰتَۢاۚ بَلۡ أَحۡيَآءٌ عِندَ رَبِّهِمۡ يُرۡزَقُونَ ﴾
« باللغة التايلاندية »
د. أمين بن عبدالله الشقاوي
ترجمة: حسنى فوانج سيري
مراجعة: صافي عثمان
المصدر: كتاب الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة
2012 - 1433
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
เรื่องที่ 149
ข้อคิดจากอายะฮฺ:
﴿وَلَا تَحۡسَبَنَّ ٱلَّذِينَ قُتِلُواْ فِي سَبِيلِ ٱللَّهِ أَمۡوَٰتَۢاۚ بَلۡ أَحۡيَآءٌ عِندَ رَبِّهِمۡ يُرۡزَقُونَ﴾
มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล ขอความสุขความจำเริญและความสันติจงประสบแด่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนวงศ์วานและมิตรสหายของท่าน ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่า มุหัมมัดเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์
1) อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า:
﴿وَلَا تَحۡسَبَنَّ ٱلَّذِينَ قُتِلُواْ فِي سَبِيلِ ٱللَّهِ أَمۡوَٰتَۢاۚ بَلۡ أَحۡيَآءٌ عِندَ رَبِّهِمۡ يُرۡزَقُونَ﴾ [آل عمران:69 ١]
ความว่า: “และเจ้าจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า บรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในหนทางของอัลลอฮฺนั้นตาย มิได้ พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระเจ้าของพวกเขาในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ" (อาลอิมรอน: 169)
เชคอับดุรเราะฮฺมาน อัสสะอฺดียฺ ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า:
﴿ وَلَا تَحۡسَبَنَّ ٱلَّذِينَ قُتِلُواْ فِي سَبِيلِ ٱللَّهِ ﴾
"หมายถึง ผู้ที่ถูกสังหารระหว่างทำการญิฮาดต่อสู้กับบรรดาศัตรูของศาสนา โดยมุ่งหวังที่จะเชิดชูศาสนาของพระองค์อัลลอฮฺ
﴿ أَمۡوَٰتَۢاۚ ﴾
"หมายถึง เจ้าอย่าได้คิดว่าการตายชะฮีดของพวกเขานั้นคือการเสียชีวิตที่เป็นความสูญเสีย โดยที่พวกเขาจะไม่ได้ลิ้มรสความสุขสำราญในโลกดุนยาอีกต่อไป แต่ทว่าพวกเขานั้นจะได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งรางวัลใดๆ นั่นก็คือ พวกเขาจะได้อยู่ในสถานที่อันทรงเกียรติ ณ ที่พระองค์อัลลอฮฺ และได้รับความสุขสำราญและความโปรดปรานอันมากยิ่ง โดยที่ไม่มีผู้ใดสามารถพรรณนาความโปรดปรานนี้ได้ นอกจากอัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาล" (ดู ตัฟสีรอัสสะอฺดียฺ หน้า 124)
มีรายงานซึ่งบันทึกในเศาะฮีหฺมุสลิม จากมัสรูก เล่าว่า ท่านอับดุลลอฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้ถูกถามถึงอายะฮฺข้างต้นนี้ แล้วท่านกล่าวตอบว่า: เราก็เคยถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เกี่ยวกับอายะฮฺดังกล่าว ซึ่งท่านได้กล่าวว่า:
« أَرْوَاحُهُمْ فِى جَوْفِ طَيْرٍ خُضْرٍ، لَهَا قَنَادِيلُ مُعَلَّقَةٌ بِالْعَرْشِ، تَسْرَحُ مِنَ الْجَنَّةِ حَيْثُ شَاءَتْ، ثُمَّ تَأْوِى إِلَى تِلْكَ الْقَنَادِيلِ، فَاطَّلَعَ إِلَيْهِمْ رَبُّهُمُ اطِّلاَعَةً، فَقَالَ: هَلْ تَشْتَهُونَ شَيْئًا؟، قَالُوا: أَىَّ شَىْءٍ نَشْتَهِى، وَنَحْنُ نَسْرَحُ مِنَ الْجَنَّةِ حَيْثُ شِئْنَا، فَفَعَلَ ذَلِكَ بِهِمْ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ، فَلَمَّا رَأَوْا أَنَّهُمْ لَنْ يُتْرَكُوا مِنْ أَنْ يُسْأَلُوا، قَالُوا: يَا رَبِّ، نُرِيدُ أَنْ تَرُدَّ أَرْوَاحَنَا فِى أَجْسَادِنَا، حَتَّى نُقْتَلَ فِى سَبِيلِكَ مَرَّةً أُخْرَى. فَلَمَّا رَأَى أَنْ لَيْسَ لَهُمْ حَاجَةٌ تُرِكُوا » [مسلم برقم 1887]
ความว่า: "วิญญาณของพวกเขา (หมายถึงบรรดาชะฮีด) จะอยู่ในท้องนกสีเขียว และพักอยู่ในโคมตะเกียงที่แขวนเรียงรายอยู่ใต้อัรชฺ (บัลลังก์ของอัลลอฮฺ) โดยพวกเขาโบยบินอย่างอิสระในสรวงสวรรค์ตามที่พวกเขาประสงค์ แล้วก็กลับไปยังโคมตะเกียงเหล่านั้นตามเดิม จากนั้นพระผู้อภิบาลของพวกเขาก็ทรงปรากฏให้พวกเขาเห็น แล้วตรัสถามพวกเขาว่า 'พวกเจ้าต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?' พวกเขาตอบว่า 'พวกเราจะอยากได้สิ่งใดอีกเล่า? ในเมื่อขณะนี้พวกเราก็อยู่ในสวรรค์อย่างมีอิสระตามที่พวกเราต้องการ' แล้วพระองค์ก็ตรัสเช่นนี้สามครั้ง เมื่อพวกเขาเห็นว่าพวกเขาจะยังคงถูกถามเช่นนี้อยู่ต่อไป พวกเขาก็กล่าวว่า: 'โอ้ ผู้ทรงอภิบาลของเรา ได้โปรดให้วิญญาณของเรากลับเข้าร่าง เพื่อเราจะได้กลับไปถูกฆ่าตายในหนทางของพระองค์อีกครั้งเถิด' เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าพวกเขาไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีก พระองค์ก็ทรงหยุดถาม" (มุสลิม: 1887)
มีรายงานในเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรียฺ และมุสลิม จากอนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า: ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:
« مَا مِنْ أَحَدٍ يَدْخُلُ الجَنَّةَ، يُحِبُّ أَنْ يَرْجِعَ إِلَى الدُنْيَا، وَ إنَّ لَهُ مَا عَلَى الأَرْضِ مِنْ شَيْءٍ غيرُ الشَهِيْدِ، فَإِنَّهُ يَتَمَنَّى أَنْ يَرْجِعَ، فَيُقْتَلُ عَشرَ مَرَّاتٍ لِما يَرَى مِنَ الكَرَامَةِ » [البخاري برقم 2817، ومسلم برقم 1877]
ความว่า: “ไม่มีบุคคลใดที่ได้เข้าสวรรค์แล้วอยากจะกลับไปยังโลกดุนยาอีกครั้ง ทั้งๆที่เขาได้รับรางวัลตอบแทนเป็นสิ่งที่เทียบเท่ากับสรรพสิ่งในโลกดุนยาแล้ว นอกจากชะฮีด เขาคือผู้ที่อยากจะกลับไปยังดุนยา เพื่อที่จะได้ถูกสังหารอีกสักสิบครั้ง เนื่องจากความมีเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับ” (อัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่: 2817 และมุสลิม หะดีษเลขที่: 1877)
2) อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสต่อว่า:
﴿ فَرِحِينَ بِمَآ ءَاتَىٰهُمُ ٱللَّهُ مِن فَضۡلِهِۦ وَيَسۡتَبۡشِرُونَ بِٱلَّذِينَ لَمۡ يَلۡحَقُواْ بِهِم مِّنۡ خَلۡفِهِمۡ أَلَّا خَوۡفٌ عَلَيۡهِمۡ وَلَا هُمۡ يَحۡزَنُون ﴾ [آل عمران: ١٧٠]
ความว่า: “โดยที่พวกเขามีความปลาบปลื้มต่อสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่พวกเขาจากความกรุณาของพระองค์ และปีติยินดีต่อบรรดาผู้ที่ยังมาไม่ทันพวกเขาซึ่งอยู่เบื้องหลังพวกเขาว่า ไม่มีความกลัวใดๆ แก่พวกเขาและทั้งพวกเขาจะไม่เสียใจ” (อาล อิมรอน: 170)
กล่าวคือ บรรดาชะฮีดที่เสียชีวิตในหนทางของอัลลอฮฺนั้น ยังมีชีวิตอยู่ ณ ที่พระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงให้ริสกีปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา โดยที่พวกเขามีความยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่งในความสุขและความโปรดปรานที่ได้รับ อีกทั้งยังรู้สึกปีติยินดีกับบรรดาพวกพ้องของพวกเขา ที่เสียชีวิตในหนทางของอัลลอฮฺหลังจากพวกเขาและกำลังจะติดตามพวกเขาไป โดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดข้างหน้า และไม่เศร้าโศกเสียใจในสิ่งที่ได้ละทิ้งไว้เบื้องหลังของพวกเขา
มีบันทึกรายงานจากท่านอนัส เล่าถึงเรื่องราวของชาวอันศอรฺจำนวนเจ็บสิบคนที่ถูกสังหารในคราวเดียวกัน ณ บ่อน้ำมะอูนะฮฺ ทำให้ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถึงกับกล่าวดุอาอ์กุนูตขอให้ผู้ที่สังหารพวกเขาเหล่านั้นประสบกับความพินาศ ท่านอนัสกล่าวว่า: ในช่วงนั้นได้มีอายะฮฺอัลกุรอานบางอายะฮฺถูกประทานลงมา ก่อนที่อัลลอฮฺจะทรงยกเลิกไปในภายหลัง นั่นคืออายะฮฺที่ว่า:
« بَلِّغُوْا عَنَّا قَوْمَنَا أَنَّا لَقِيْنَا رَبَّنَا فَرَضِيَ عَنَّا وَأَرْضَانَا »
ความว่า: "พวกท่านจงแจ้งข่าวแก่พวกพ้องของเราเถิดว่า แท้จริงพวกเราได้พานพบกับพระผู้อภิบาลของเราแล้ว โดยที่พระองค์ทรงพอพระทัยในตัวพวกเรา และทรงทำให้พวกเราพอใจ" (บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่: 4090 และมุสลิม หะดีษเลขที่: 677)
3) อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสอีกว่า:
﴿ ۞يَسۡتَبۡشِرُونَ بِنِعۡمَةٖ مِّنَ ٱللَّهِ وَفَضۡلٖ وَأَنَّ ٱللَّهَ لَا يُضِيعُ أَجۡرَ ٱلۡمُؤۡمِنِينَ ١٧١﴾ [آل عمران: ١٧١]
ความว่า: “พวกเขาปีติยินดีต่อสิ่งอำนวยความสุขจากอัลลอฮฺ และความกรุณาจากพระองค์ และแท้จริงอัลลอฮฺนั้น จะไม่ทรงให้สูญหายซึ่งรางวัลของผู้ศรัทธาทั้งหลาย” (อาล อิมรอน: 171)
กล่าวคือ พวกเขาต่างแสดงความยินดีให้แก่กันต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งพวกเขาจะได้รับ นั่นก็คือความโปรดปราน และความเมตตากรุณาจากพระองค์อัลลอฮฺ โดยพระองค์จะไม่ทรงทำให้ผลบุญของบรรดาผู้ศรัทธาสูญเปล่า แต่จะทรงเพิ่มพูน และประทานความประเสริฐความดีงามให้มากยิ่งขึ้น จนถึงระดับที่ไม่มีผู้ใดจะสามารถบรรลุถึงได้ด้วยความเพียรพยายามส่วนตน
สิ่งที่ได้รับจากอายะฮฺข้างต้น:
ประการแรก: เป็นข้อยืนยันการมีอยู่จริงของความสุขสำราญในโลกบัรซัค (โลกหลังความตายก่อนฟื้นคืนชีพอีกครั้ง) โดยบรรดาชะฮีดจะได้พำนักอยู่ในสถานที่อันทรงเกียรติที่สุด ณ ที่พระองค์อัลลอฮฺ ตะอาลา มีรายงานหะดีษจากท่านอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า: ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:
«الشُّهَدَاءُ عَلَى بَارِقِ نَهَرٍ بِبَابِ الْجَنَّةِ، فِي قُبَّةٍ خَضْرَاءَ، يَخْرُجُ عَلَيْهِمْ رِزْقُهُمْ بَكْرَةً وَعَشِيًّا » [مسند الإمام أحمد برقم 2390]
ความว่า: “บรรดาชะฮีดจะพำนักอยู่ในโดมเขียวริมแม่น้ำสายหนึ่งใกล้กับประตูสวรรค์ โดยที่พวกเขาจะได้รับริสกีต่างๆทุกเช้าเย็น” (มุสนัดอะหฺมัด หะดีษเลขที่: 2390)
ท่านอิบนุกะษีร ได้อธิบายว่า: "ดูเหมือนว่าบรรดาชะฮีดจะมีหลายกลุ่ม บางกลุ่มวิญญาณของพวกเขามีอิสระล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์ ในขณะที่บางกลุ่มจะอยู่ริมแม่น้ำใกล้ประตูสวรรค์ หรืออาจเป็นไปได้ว่าการเดินทางของพวกเขาสิ้นสุดลงตรงแม่น้ำนี้ ซึ่งจะเป็นจุดที่พวกเขารวมตัวกันเพื่อรับริสกีความโปรดปรานต่างๆทุกเช้าเย็น วัลลอฮุอะอฺลัม
"ทั้งนี้ มีรายงานหะดีษในมุสนัดอะหฺมัด ที่กล่าวถึงข่าวดีว่า มุอ์มินผู้ศรัทธาทุกคนนั้น วิญญาณของเขาจะได้อยู่ในสวรรค์อย่างเป็นอิสระ ได้ทานผลไม้ในนั้น ได้เห็นความปลาบปลื้มปีติยินดี และยังได้พบกับความมีเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงตระเตรียมไว้ให้แก่พวกเขา ซึ่งหะดีษนี้มีสายรายงานที่ถูกต้อง โดยเป็นการรายงานผ่านสายรายงานสามท่านจากอิมามทั้งสี่ กล่าวคือ อิมามอะหฺมัดรายงานหะดีษนี้จากท่านมุหัมมัด บิน อิดรีส อัชชาฟิอียฺ ซึ่งรายงานจากท่านมาลิก บิน อนัส อีกต่อหนึ่ง และท่านมาลิกรายงานจากอัซซุฮฺรียฺ จากอับดุลเราะหฺมาน บิน กะอับ บิน มาลิก จากบิดาของเขา เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม เล่าว่า ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:
« نَسَمَةُ الْمُؤْمِنِ إِذَا مَاتَ طَائِرٌ يَعْلُقُ بِشَجَرِ الْجَنَّةِ، حَتَّى يُرْجِعَهُ اللَّهُ تَبَارَكَ وَتَعَالَى إِلَى جَسَدِهِ يَوْمَ يَبْعَثُهُ » [مسند أحمد 3/460]
ความว่า: “วิญญาณของมุอ์มินผู้ศรัทธาเมื่อตายไปจะกลายเป็นนกเกาะอยู่บนต้นไม้ในสวรรค์ กระทั่งอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงทำให้วิญญาณของเขากลับคืนสู่ร่างในวันที่พระองค์ทรงให้เขาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง” (มุสนัดอะหฺมัด 3/460)
"จากหะดีษข้างต้น ทำให้ทราบว่าวิญญาณของผู้ศรัทธานั้นจะอยู่ในรูปของนกในสรวงสวรรค์ ส่วนวิญญาณของบรรดาชะฮีดก็เป็นเหมือนที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ คือเป็นดั่งดวงดาวเมื่อเทียบกับวิญญาณของบรรดามุอ์มินทั่วไป คือสามารถที่จะโบยบินได้อย่างอิสระ ขออัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงให้เราได้เสียชีวิตอยู่ในร่มเงาแห่งการศรัทธาด้วยเถิด" (ตัฟสีรฺ อิบนุกะษีร 1/427)
ประการที่สอง: ส่งเสริมและสนับสนุนให้ทำญิฮาด และไม่หลงระเริงกับความสุขชั่วขณะแห่งโลกดุนยา มีรายงานหะดีษจากสะฮฺล์ บิน หะนีฟ จากบิดาของเขา เล่าว่า: ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:
«مَنْ سَأَلَ اللهَ الشَهَادَةَ بِصِدْقٍ، بَلَّغَهُ اللهُ مَنَازِلَ الشُهَدَاءِ وَإِنْ مَاتَ عَلَى فِرَاشِهِ» [مسلم برقم 1909]
ความว่า: “ผู้ใดวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺให้ได้เสียชีวิตในหนทางของพระองค์ด้วยความสัจจริง พระองค์จะทรงให้เขาได้รับตำแหน่งดังกล่าว แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตบนที่นอนของเขาก็ตาม” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่: 1909)
ประการที่สาม: ความประเสริฐและเกียรติอันสูงส่งของการทำญิฮาด ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:
« إِنَّ فِى الْجَنَّةِ مِائَةَ دَرَجَةٍ أَعَدَّهَا اللَّهُ لِلْمُجَاهِدِينَ فِى سَبِيلِ اللَّهِ، مَا بَيْنَ الدَّرَجَتَيْنِ كَمَا بَيْنَ السَّمَاءِ وَالأَرْضِ، فَإِذَا سَأَلْتُمُ اللَّهَ فَاسْأَلُوهُ الْفِرْدَوْسَ، فَإِنَّهُ أَوْسَطُ الْجَنَّةِ وَأَعْلَى الْجَنَّةِ، أُرَاهُ قال: فَوْقَهُ عَرْشُ الرَّحْمَنِ، وَمِنْهُ تَفَجَّرُ أَنْهَارُ الْجَنَّةِ » [البخاري برقم 2790]
ความว่า: “แท้จริงในสวรรค์นั้น มีอยู่หนึ่งร้อยระดับชั้นที่อัลลอฮฺทรงเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ทำญิฮาดในหนทางของพระองค์ โดยระยะห่างระหว่างแต่ละระดับชั้นนั้น เทียบเท่าระยะห่างระหว่างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ดังนั้น เมื่อพวกท่านวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ก็จงขอสวรรค์ชั้นฟิรเดาส์ เพราะนั่นคือใจกลางสวรรค์ และเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด เหนือขึ้นไปก็คือบัลลังก์ของพระผู้ทรงเมตตาปราณี และเป็นจุดที่แม่น้ำแห่งสวนสวรรค์ไหลพุ่งออกมา” (บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ: 2790)
ประการที่สี่: เป็นการปลอบใจผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ให้มีความสุขความสบายใจ กับการจากไปที่ไม่สูญเปล่าของบรรดาญาติพี่น้องของพวกเขา และให้พวกเขามีความตื่นตัวกับการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ เพื่อหวังที่จะได้มีโอกาสเสียชีวิตในสภาพชะฮีด
มีรายงานหะดีษบันทึกในเศาะฮีหฺอัล-บุคอรียฺ เล่าว่า: อุมมุ หาริษะฮฺ บินตฺ สุรอเกาะฮฺ ได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วกล่าวถามท่านว่า: “โอ้ นบีของอัลลอฮฺ ท่านช่วยบอกกล่าวแก่ฉันถึงสถานะของหาริษะฮฺ ซึ่งถูกสังหารด้วยคมธนูในสมรภูมิบัดรฺทีเถิด ถ้าหากเขาได้เข้าสวรรค์ฉันก็จะอดทนอดกลั้น แต่ถ้าไม่ ฉันก็คงจะร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง” ซึ่งท่านกล่าวตอบว่า:
«يَا أُمَّ حَارِثَةَ ، إِنَّهَا جِنَانٌ فِي الْجَنَّةِ ، وَإِنَّ ابْنَكِ أَصَابَ الْفِرْدَوْسَ الأَعْلَى » [البخاري برقم 2809]
ความว่า: “อุมมุหาริษะฮฺเอ๋ย แท้จริงสวรรค์นั้นมีหลายระดับชั้น และลูกชายของเธอได้อยู่ในชั้นฟิรเดาส์ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด” (อัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่: 2809)
ประการที่ห้า: ความประเสริฐทั้งหลายที่ถูกระบุไว้ในโองการอัลกุรอานและหะดีษของท่านนบีนั้น สงวนไว้เฉพาะสำหรับผู้ที่ต่อสู้เพื่อเชิดชูและปกป้องศาสนาของพระองค์อัลลอฮฺ ตะอาลาเท่านั้น
ท่านอบูมูซา อัล-อัชอะรียฺ เล่าว่า มีชายผู้หนึ่งมาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วกล่าวถามท่านถึงชายคนหนึ่งที่ต่อสู้โดยหวังในทรัพย์สินที่จะได้จากศึกสงคราม อีกคนหนึ่งต่อสู้เพื่อให้ตนเป็นที่โจษขาน และอีกคนหนึ่งต่อสู้เพื่อให้ผู้คนเห็นถึงความแกร่งกล้าของเขา ผู้ใดเล่าคือผู้ที่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ? ท่านตอบว่า:
« مَنْ قَاتَلَ لَتَكُونَ كَلِمَةُ اللهِ هِيَ العُلْيَا فَهُوَ في سَبِيْلِ اللهِ » [البخاري برقم 2810، ومسلم برقم 1904]
ความว่า: “ผู้ใดต่อสู้เพื่อเชิดชูศาสนาของอัลลอฮฺให้สูงส่ง เขาผู้นั้นคือผู้ที่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ” (อัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่: 2810 และมุสลิม หะดีษเลขที่: 1904)
ส่วนผู้ที่ต่อสู้เพื่อประโยชน์แห่งพวกพ้องเผ่าพันธุ์ ชาตินิยม เสรีภาพ หรือเพื่ออุดมการณ์จอมปลอมอื่นใดจากนี้ เขาก็จะเข้าข่ายผู้ที่ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวถึงในหะดีษที่บันทึกโดยมุสลิมว่า:
« مَنْ قُتِلَ تَحْتَ رَايَةٍ عُمِّيَّةٍ، يَدْعُو عَصَبِيَّةً، أَوْ يَنْصُرُ عَصَبِيَّةً، فَقِتْلَةٌ جَاهِلِيَّةٌ » [مسلم برقم 1850]
ความว่า: "ผู้ใดถูกสังหารในการต่อสู้อันมืดบอด ที่แสวงหาแต่ประโยชน์และอุดมการณ์แห่งพวกพ้องเผ่าพันธุ์ การตายของเขานั้นก็เป็นเพียงการตายในสภาพญาฮิลียะฮฺ" (มุสลิม หะดีษเลขที่: 1850)
والحمد لله رب العالمين ، وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين .