×
บทความแนะนำกลุ่มอะชาอิเราะฮฺโดยสรุป อาิทิ นิยามกลุ่ม ผู้ก่อตั้งแนวคิด คุณลักษณะเฉพาะ ปราชญ์ในแนวคิดนี้ และบททบทวนบางประการเกี่ยวกับแนวความคิดของกลุ่ม

    1. นิยามของอัล-อะชาอิเราะฮฺ

    อัล-อะชาอิเราะฮฺ คือมุสลิมคณะหนึ่งที่พาดพิงไปยังอิหม่ามอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ซึ่งจะใช้วิธีการยืนยันเรื่องหลักศรัทธาและโต้ตอบฝ่ายที่มีทัศนะขัดแย้งกับตนตามแนวทางของอะฮฺลุลกะลาม (นักวิภาษวิทยา)

    2. ผู้ก่อตั้ง

    ผู้ก่อตั้ง คือ อิหม่ามอบู อัล-หะสัน อะลีย์ บิน อิสมาอีล อัล-อัชอะรีย์ เกิดที่เมืองบัศเราะฮฺ เมื่อปี ฮ.ศ. 260 ท่านพำนักที่เมืองบัฆดาด (แบกแดด) ประเทศอิรักและเสียชีวิตที่นั่น เมื่อปี ฮ.ศ. 324 ท่านเติบโตอยู่กับพ่อเลี้ยงที่ชื่อว่า อบู อะลีย์ อัล-ญุบบาอีย์ ซึ่งเป็นผู้นำแนวคิด “อัล-มุอฺตะซิละฮฺ” ท่านได้รับแนวคิดของมุอฺตะซิละฮฺจากเขาผู้นี้ จนกระทั่งท่านเป็นผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญและเป็นหนึ่งในแกนนำแนวคิดมุอฺตะซิละฮฺ

    3. การผันแปรจากแนวคิดมุอฺตะซิละฮฺ

    นักประวัติศาสตร์มีความเห็นพ้องกันว่า การผันแปรครั้งแรกในชีวิตของอบู อัล-หะสัน คือการถอนตัวเองออกจากแนวคิดมุอฺตะซิละฮฺ

    อิบนุ อะสากิรฺ และนักวิชาการท่านอื่นๆ ระบุว่า อบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ ได้พำนักอยู่ที่บ้านและปลีกตัวออกจากสังคมเป็นเวลา 15 วัน เพื่อใช้เวลากับการทบทวนและค้นคว้าแสวงหาสัจธรรม แล้วท่านก็ออกไปพบปะกับผู้คนที่มัสยิดกลาง พร้อมกับประกาศให้ผู้คนทราบว่าท่านได้ถอนตัวออกจากความเชื่อเดิม (อัล-มุอฺตะซิละฮฺ) ของท่านแล้ว เสมือนกับที่ท่านถอนตัวออกจากเสื้อของท่าน แล้วท่านก็ถอดเสื้อที่ท่านสวมอยู่ออกจากตัวท่าน และโยนไปยังผู้คนพร้อมกับตำราเล่มใหม่ที่ท่านแต่งขึ้น (หนังสือตับยีน กะซิบิ อัล-มุฟตะรี โดยอิบนุ อะสากิรฺ หน้า 38-39)

    นักวิจัยเห็นพ้องว่า ท่านได้ผันตัวเองออกจากแนวคิดมุอฺตะซิละฮฺจริง แต่มีความเห็นต่างกันถึงมูลเหตุจูงใจที่ทำให้ท่านผันแปรในครั้งนี้ นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า สาเหตุมาจากการที่ขณะนั้นอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ มองว่าแนวคิดมุอฺตะซิละฮฺมีความบกพร่องในบางแง่มุม ท่านเคยถามอาจารย์ของท่านในสิ่งที่เคยเคลือบแคลงสงสัยในแนวคิดของสำนักนี้ ดังกรณี ที่มีชายคนหนึ่งมาถามปัญหากับอะลีย์ อัล-ญุบบาอีย์ ซึ่งขณะนั้นอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ อยู่ ณ ตรงนั้นด้วย ชายผู้นั้นถามอบู อะลีย์ว่า เราสามารถที่จะตั้งพระนามแก่อัลลอฮฺว่า “อากิล” ผู้ทรงมีสติปัญญา-ได้หรือไม่ อัล-ญุบบาอีย์ตอบว่า ไม่ได้เนื่องจากคำว่า อัล-อักลฺ ฐานภาษามาจากคำว่า อิกอลฺ ซึ่งมีความหมายว่า ห้าม ดังนั้นการห้ามในฐานะของอัลลอฮฺเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่อนุญาตตั้งชื่อเช่นนั้นเด็ดขาด อบู อัล-หะสันได้โต้แย้งคำตอบของอัล-ญุบบาอีย์ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะเรียกอัลลอฮฺว่า “อัล-หะกีม”ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะคำว่าหะกีม มีฐานภาษามาจากคำว่า หะกะมะฮฺ อัล-ลิญาม คือเชือกผูกคอสัตว์เลี้ยง(เช่น ม้า อูฐ) อบู อะลีย์ อัล-ญุบบาอีย์ไม่ตอบคำถามสำหรับปัญหานี้แต่อย่างใด นอกจากย้อนถามอบู อัล-หะสันว่า แล้วเหตุใดท่านจึงห้ามตั้งชื่ออัลลอฮฺว่า “อัล-อากิล” แต่ท่านอนุญาตให้ตั้งชื่ออัลลอฮฺว่า “อัล-หากิม” ได้ ? อบู อัล-หะสันตอบว่า เพราะแนวทางของฉันในเรื่องการกำหนดพระนามของอัลลอฮฺ คือตัวบทหลักฐาน (จากอัลกุรอานและอัสสุนนะฮฺ) หาใช่จากการเทียบเคียงเชิงภาษา ดังนั้นฉันจึงเรียกพระองค์ว่า “อัล-หะกีม” เนื่องจากมีตัวบทหลักฐานเรียกเช่นนั้น และฉันไม่เรียกพระองค์ว่า “อัล-อากิล” เนื่องจากไม่ปรากฏในตัวบทหลักฐานให้เรียกเช่นนั้น หากมีตัวบทหลักฐานเรียกเช่นนั้นแล้วแน่นอนฉันต้องเรียกตาม

    อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อบู อัล-หะสัน ต้องถอนตัวออกเองจากอัล-มุอฺตะซิละฮฺ คือ ความฝัน ท่านเล่าว่า “ในคืนหนึ่งฉันรู้สึกเคลือบแคลงใจเกี่ยวกับหลักการเชื่อมั่นที่ยึดถืออยู่ ฉันจึงลุกขึ้นละหมาดสองร็อกอะฮฺ และขอให้อัลลอฮฺทรงชี้หนทางที่เที่ยงตรง จากนั้นฉันได้เขานอนแล้วฝันเห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ฉันจึงบอกกับท่านนบีในสิ่งที่ฉันได้ประสบ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตอบว่า “เจ้าจงยึดแบบอย่าง (ซุนนะฮฺ) ของฉัน” ทันใดนั้นฉันรู้สึกตัวและนำปัญหาต่างๆของวิชาวิภาษวิทยา(อิลมุ อัล-กะลาม)มาไตร่ตรองเปรียบเทียบกับอัลกุรอานและอัลหะดีษ ดังนั้นฉันจึงยืนยันตามอัลกุรอานและอัลหะดีษและละทิ้งสิ่งอื่นๆไว้ข้างหลังของฉัน” (หนังสือตับยีน กะซิบิ อัล-มุฟตะรี โดยอิบนุอะสากิร หน้า 38-39)

    หากเรื่องเล่านี้เป็นความจริงก็จะเป็นหลักฐานสำคัญชี้ถึงสาเหตุที่ทำให้ท่านอบู อัล-หะสันผันแปรตัวเอง แต่ที่ควรสังเกตคือ ตามที่ท่านได้ถกเถียงกับมุอฺตะซิละฮฺท่านเริ่มมีความเคลือบแคลงใจในบางปัญหาและมีทัศนะของตนเองในปัญหานั้นๆ โดยเฉพาะ ซึ่งในขณะนั้นท่านยังอาศัยชายคาของแนวคิดนี้อยู่ จนกระทั่งท่านได้ฝันเห็นท่านนบี ซึ่งเป็นจุดหักเหที่ทำให้ท่านหายข้อสงสัยต่างๆ จนกระทั่งท่านได้วางแนวทางในการถอนตัวเองจากแนวคิดมุอฺตะซิละฮฺอย่างเต็มรูปแบบ

    นักวิจัยค้นคว้ามีทัศนะแต่งต่างกันถึงสำนักคิดของท่านอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ บางคนกล่าวว่าท่านผันแปรไปสู่สำนักคิดอัล-กุลลาบิยะฮฺ และต่อมาผันแปรสู่แนวทางสะลัฟ ซึ่งเป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนหนึ่ง บางคนกล่าวว่าท่านได้ผันแปรสู่สำนักคิดอัล-กุลลาบิยะฮฺและยึดมั่นกับแนวคิดนี้อย่างถาวร และท่านมีทัศนะของตนเองโดยเฉพาะโดยมีแนวคิดก้ำกึ่งระหว่างมุอฺตะซิละฮฺกับแนวคิดของอัล-มุษบิตะฮฺ(กลุ่มแนวคิดที่ยืนยันในคุณลักษณะของอัลลอฮฺ) ซึ่งต่อมากลายเป็นแนวคิดอัล-อัชอะรีย์ นี่เป็นทัศนะของพวกอัล-อะชาอิเราะฮฺเอง

    ส่วนทัศนะที่กล่าวว่าท่านได้ผันแปรสู่แนวทางอัล-กุลลาบิยะฮฺ และต่อมาผันแปรสู่แนวทางของชาวสะลัฟ เป็นการยืนยันของอิหม่ามอบู อัล-หะสันเองในหนังสือ อัล-อิบานะฮฺ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายที่ท่านแต่งขึ้น โดยในหนังสือดังกล่าวได้ระบุอย่างชัดเจนว่าท่านยึดมั่นตามสำนักคิดของอิหม่ามอะหฺมัด บิน หันบัล

    จากการเปรียบเทียบงานเขียนของท่านกับแนวคิดอัล-กุลลาบิยะฮฺอย่างละเอียด จะไม่พบข้อแตกต่างระหว่างสองสำนักคิดเท่าใดนัก เพราะสิ่งใดที่อัล-กุลลาบิยะฮฺได้กล่าว อบู อัล-หะสันก็กล่าวอย่างนั้นเช่นกัน เช่นการยืนยันคุณลักษณะอัล-เคาะบะริยะฮฺ เช่น พระพักตร์ พระหัตถ์ทั้งสองข้าง และสิ่งอื่นๆ และสิ่งใดที่อัล-กุลลาบิยะฮฺปฏิเสธ อบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ ก็ปฏิเสธด้วย เช่น การปฏิเสธการกระทำของอัลลอฮฺที่ทรงประสงค์ ซึ่งพวกเขามีทัศนะว่า คุณลักษณะอัล-อิรอดะฮฺ (ความประสงค์) นั้น เป็นลักษณะที่มีตั้งแต่ดั้งเดิม (อะซะลีย์) ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ด้วยการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด

    ท่านอบู อัล-หะสัน เคยกล่าวไว้ในหนังสือเล่มอื่นๆ นอกจาก หนังสืออัล-อิบานะฮฺ ว่า “แท้จริงคุณลักษณะ อัล-กะลาม(การพูด) เป็นคุณลักษณะอาตมัน (ซาต) ของอัลลอฮฺ” และท่านเคยห้ามไม่ให้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺ ได้พูดด้วยอัลกุรอาน

    ส่วนการที่อ้างว่าท่านสังกัดแนวคิดของอิหม่ามอะหฺมัด บิน หันบัล นั้น เราไม่สามารถที่จะยืนยันเช่นนั้นอย่างชัดเจน ในขณะที่คำพูดและทัศนะของท่านยังขัดแย้งกับสิ่งที่อิหม่ามอะหฺมัดกล่าว เพราะว่าอิหม่ามอะหฺมัดไม่เคยปฏิเสธว่า อัลลอฮฺทรงมีคุณลักษณะด้วยอัล-อัฟอาล อัล-อิคติยาริยะฮฺ (การกระทำตามที่พระองค์ประสงค์) เช่นคุณลักษณะ อัน-นุซูล (การเสด็จลงมาจากฟากฟ้า) และอัล-มะญีอ์ (การเสด็จมายังทุ่งมะหฺชัรฺ)

    ส่วนคำกล่าวของท่านที่ยืนยันถึง คุณลักษณะอัล-อิสติวาอ์ (การสถิตเหนือบัลลังก์) และอัล-อุลูวฺ (การอยู่เบื้องสูง) สำนักคิดของอิบนุ กุลลาบ ก็ยืนยันในคุณลักษณะดังกล่าวเช่นกัน ประเด็นนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับทัศนะที่ว่าท่านได้เปลี่ยนแนวคิดจากมุอฺตะซิละฮฺมาสู่แนวคิดอัล-กุลลาบิยะฮฺ และยืนหยัดบนแนวทางนี้อย่างถาวร

    ที่กล่าวมาข้างต้นคือบางส่วนของชีวประวัติของนักคิดที่สำคัญคนหนึ่ง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญที่ต้องศึกษา ค้นคว้า และวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของแนวคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺ เพราะการค้นคว้าจะทำให้สัจธรรมมีความกระจ่างขึ้น และความมดเท็จก็จะอันตธานหายไป

    4. ความแตกต่างระหว่างอัล-อะชาอิเราะฮฺรุ่นแรกกับอัล-อะชาอิเราะฮฺรุ่นหลัง

    ผู้ที่ศึกษาแนวคิดของอิหม่ามอัล-อัชอะรีย์ จะพบข้อแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างทัศนะอัล-อะชาอิเราะฮฺรุ่นแรกกับอัล-อะชาอิเราะฮฺรุ่นหลัง ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าอัล-อะชาอิเราะฮฺรุ่นหลังมิได้เจริญรอยตามแนวทางของอบู อัล-หะสันอย่างแท้จริง หากแต่พวกเขามีทัศนะที่ขัดแย้งกันในประเด็นปัญหาที่สำคัญ จนมีบางคนกล่าวว่า หากอบู อัล-หะสันทราบว่าสิ่งที่อัล-อะชาอิเราะฮฺรุ่นหลังอ้างว่าทำตามแนวคิดของท่านนั้น แน่นอนท่านอิหม่ามจะต้องกล่าวตอบว่า “พวกท่านจงบอกแก่พวกเขาด้วยว่าฉันไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกท่าน” ซึ่งเราสามารถยกตัวอย่างประเด็นปัญหาดังต่อไปนี้

    ตัวอย่างแรก ทัศนะเกี่ยวกับศิฟัต เคาะบะริยะฮฺ คือคุณลักษณะของอัลลอฮฺที่ไม่สามารถรู้ได้เองด้วยสติปัญญา แต่สามารถรู้ได้ด้วยหลักฐานจากอัลกุรอานและอัซ-ซุนนะฮฺ เช่น พระพักต์ พระหัตถ์ทั้งสอง หรือ พระเนตร อิหม่ามอบู อัล-หะสัน มีทัศนะเกี่ยวกับประเด็นนี้เหมือนกับแนวคิดของอัล-กุลลาบิยะฮฺ คือ ยืนยันว่าคุณลักษณะเหล่านี้เป็นของอัลลอฮฺ อบู อัล-หะสันได้กล่าวยืนยันในหนังสืออัล-อิบานะฮฺ หน้าที่ 22 และหนังสือ ริสาละฮฺ อิลา อะฮฺลิ อัษ-ษัฆฺริ หน้าที่ 225-226 ในขณะที่อัล-อะชาอิเราะฮฺรุ่นหลังจะทำการ ตะอ์วีล (ตีความ) คุณลักษณะดังกล่าวเป็นอย่างอื่น ดังที่อัล-อีย์ญีย์ได้กล่าวว่า ข้อที่ 5 คุณลักษณะพระหัตถ์ของอัลลอฮฺ พระองค์ได้ตรัสว่า

    ﭽ... ﭗ ﭘ ﭙ ﭚﭛ ... ﭼ الفتح: ١٠

    ความว่า “พระหัตถ์ของอัลลอฮฺทรงอยู่เหนือมือของพวกเขา” (ซูเราะฮฺ อัลฟัตหฺ อายะฮฺที่ 10)

    ﭽ ...ﯞ ﯟ ﯠ ﯡ ﯢ ﯣ ﯤﯥ ... ﭼ ص: ٧٥

    ความว่า “สิ่งใดหรือที่มายับยั้งไม่ให้เจ้าสุญูดแก่สิ่งที่ข้าสร้างมาด้วยสองพระหัตถ์ของข้า” (ซูเราะฮฺ ศอด อายะฮฺที่ 75)

    อิหม่ามอบู อัล-หะสันได้ยืนยันในคุณลักษณะทั้งสองนี้ ซึ่งเป็นทัศนะของชาวสะลัฟ ในหนังสือบางเล่มของอัล-กอฎีย์ยังยืนยันถึงคุณลักษณะนี้ด้วย แต่อัล-อะชาอิเราะฮฺส่วนใหญ่เห็นว่าคุณลักษณะดังกล่าวเป็นมะญาซ (คำอุปมา) ที่หมายถึง อานุภาพของพระองค์ โองการที่พระองค์บอกว่าได้สร้างด้วยสองพระหัตถ์ของพระองค์ หมายถึง สร้างด้วยอานุภาพที่สมบูรณ์ของพระองค์ (หนังสืออัลมะวากิฟ หน้าที่ 298)

    ตัวอย่างที่ สอง คุณลักษณะอัล-อุลูว์ (การอยู่เบื้องสูง) และ อัล-อิสติวาอ์ (การอยู่เหนือพ้นบัลลังก์) อิหม่ามอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอารีย์ ได้ยืนยัน คุณลักษณะอัล-อุลูว์ และ อัล-อิสติวาอ์ของพระองค์เหนือพ้นบัลลังก์ ตามที่ปรากฏในหนังสืออัล-อิบานะฮฺ (หน้าที่ 105) ว่า หากมีคนถามว่า ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการอิสติวาอ์ของอัลลอฮฺ ก็จงตอบไปว่า พระองค์ทรงอยู่สูงเหนือพ้นบัลลังก์ตามสภาพที่เหมาะสมกับพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสว่า

    ﭽ ﮉ ﮊ ﮋ ﮌ ﭼ طه: ٥

    ความว่า “ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงอยู่สูงเหนือพ้นบัลลังก์” (ซูเราะฮฺ ฏอฮา อายะฮฺที่ 5)

    และในหนังสือมะกอลาต อัล-อิสลามียีน (หน้าที่ 260) ว่า โดยทั่วไปแล้วทัศนะของอะฮฺลุลหะดีษและสุนนะฮฺ คือ การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ บรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์ คัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาเราะสูลของพระองค์ ...และแท้จริงอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ตรัสว่า

    ﭽ ﮉ ﮊ ﮋ ﮌ ﭼ طه: ٥

    ความว่า “ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงอยู่สูงเหนือพ้นบัลลังก์” (ซูเราะฮฺ ฏอฮา อายะฮฺที่ 5)

    นอกจากนั้นท่านยังได้โต้ตอบผู้ที่ตีความ อิสติวาอ์ ด้วยคำว่า อำนาจ ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสืออัล-อิบานะฮฺ (หน้าที่ 108) ว่า พวกมุอฺตะซิละฮฺ พวกญะฮฺมิยะฮฺ และพวกหะรูริยะฮฺ กล่าวว่าแท้จริงความหมายของโองการ

    คำว่า “อิสตะวา” หมายถึง “อิสเตาลา” (การยึดครอง), “มิลกฺ” (การครอบครอง) และ ก็อฮรฺ (เอาชนะ) และอัลลอฮฺนั้นมีอยู่ทุกหนแห่ง พวกเขาปฏิเสธการอยู่สูง(อิสติวาอ์) เหนือพ้นบัลลังก์ของอัลลอฮฺ ดังที่บรรดาผู้สัจจริงได้กล่าวไว้ และพวกเขายึดมั่นว่า อิสติวาอ์นั้นคือกุดเราะฮฺ (มีอำนาจเหนือ) ถ้าเป็นอย่างที่พวกเขากล่าวไว้ ก็จะไม่แตกต่างกันเลยระหว่างอะรัช (บัลลังก์) กับพื้นดินทั้งเจ็ดชั้น เพราะอัลลอฮฺทรงมีอำนาจเหนือทุกๆ สิ่ง

    นี่คือทัศนะของอิหม่ามอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ ส่วนอัล-อะชาอิเราะฮฺรุ่นหลังมีแนวคิดตรงข้าม ดังที่ อัล-อีย์ญีย์กล่าวในหนังสือ อัล-มะวากิฟ หน้าที่ 297-298 ว่า “คุณลักษณะที่สาม อัล-อิสติวาอ์ ครั้นเมื่ออัลลอฮฺ ตะอาลาได้บอกถึงคุณลักษณะของอัล-อิสติวาอ์ ดังคำตรัสของพระองค์

    ﭽ ﮉ ﮊ ﮋ ﮌﭼ

    ความว่า “ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงอยู่สูงเหนือพ้นบัลลังก์” (ซูเราะฮฺ ฏอฮา อายะฮฺที่ 5)

    นักวิชาการอัล-อะชาอิเราะฮฺมีความเห็นในเรื่องนี้ต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า อิสติวาอ์ หมายถึง อิสตีลาอ์ (การครอบครอง) ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะของอัล-กุดเราะฮฺ (อานุภาพ) ดังคำกล่าวของนักกวี

    ความว่า “แท้จริงอัมรฺได้ครอบครองแผ่นดินอิรัก โดยปราศจากการสู้รบและการนองเลือด”

    บางคนก็ตีความว่า อิสติวาอ์ในที่นี้หมายถึง อัล-ก็อศดฺ (มุ่งสู่) ซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะอัล-อิรอดะฮฺ (ความประสงค์) ดังคำตรัสของพระองค์

    ความว่า “แล้วพระองค์ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า” (ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 5)

    ซึ่งเป็นการตีความที่ห่างไกลมาก”

    จากทั้งสองตัวอย่างทำให้ทราบถึงความแตกต่างระหว่างแนวคิดของอิหม่ามอบู อัล-หะสันเอง กับแนวคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺรุ่นหลังที่อ้างตนว่าเจริญรอยตามอิหม่าม อัลอัชอะรีย์

    5. แนวคิดและหลักการเชื่อมั่นของอัล-อะชาอิเราะฮฺ

    ส่วนหนึ่งของหลักการเชื่อมั่นของอัล-อะชาอิเราะฮฺยุคหลัง ที่ยึดถือเป็นหลักการของสำนักคิดมีดังต่อไปนี้

    1. เหตุผลทางปัญญาต้องมาก่อนหลักฐาน (จากอัลกุรอานและอัซ-ซุนนะฮฺ) คือ เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างหลักฐานและเหตุผลทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกอันหนึ่งอันใดมาก่อน อัล-อะชาอิเราะฮฺได้นำกฎเกณฑ์คลุมเครือเหล่านี้มาเป็นหลักเกณฑ์ จึงต้องนำเหตุผลทางปัญญานำหน้าหลักฐาน และนำสิ่งเหล่านั้นมาตัวกำหนดแทนที่หลักฐาน ด้วยเหตุผลที่ว่า ปัญญานั้นเป็นสิ่งที่ไปใคร่ครวญหลักฐานว่าสมควรเชื่อหรือไม่ หากไปนำหลักฐานมาก่อนแสดงว่าเราไปทำลายการใคร่ครวญของสติปัญญา ซึ่งจะทำให้บทบัญญัติทั่วไปเป็นโมฆะหรือใช้ไม่ได้

    2. ปฏิเสธในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอานุภาพและความประสงค์ของอัลลอฮฺ คือปฏิเสธคุณลักษณะอิคติยาริยะฮฺ (สิทธิในการเลือกจะกระทำ) ซึ่งเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺยืนยันด้วยอาตมันพระองค์เอง เช่น คุณลักษณะอิสติวาอ์ (การอยู่สูงเหนือพ้นบัลลังก์) อัน-นุซูล (การเสด็จลงมายังฟากฟ้า) อัล-มะญีอ์ (การเสด็จมายังทุ่งมะหฺชัรฺ) อัล-กะลาม (การพูด) อัร-ริฎอ (ความพอพระทัย) และอัล-เฆาะฎ็อบ (ความกริ้ว) พวกเขาปฏิเสธคุณลักษณะเหล่านี้ในฐานะเป็นคุณลักษณะของอัลลอฮฺ โดยอ้างว่าการพาดพิงคุณลักษณะดังกล่าวต่ออัลลอฮฺ เท่ากับเป็นการกล่าวว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนสถานะกับอัลลอฮฺ ซึ่งคุณลักษณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นคุณลักษณะของสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง (ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่จะนำไปพาดพิงต่ออัลลอฮฺ)

    3. ยอมรับในคุณลักษณะของอัลลอฮฺเพียงเจ็ดประการ ส่วนคุณลักษณะอื่นๆ ของอัลลอฮฺพวกเขาจะทำการตะอ์วีล (ตีความ) หรือตัฟวีฎ (มอบหมายในความหมายว่าอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้) คุณลักษณะที่พวกเขายอมรับคือ อัล-อิลมฺ (ความรอบรู้) อัล-กุดเราะฮฺ (อานุภาพ) อัล-อิรอดะฮฺ (ความประสงค์) อัส-สัมอฺ (การได้ยิน) อัล-บะศ็อรฺ (การมองเห็น) อัล-กะลาม อัน-นัฟสีย์ (คำพูดที่ดำรงอยู่ด้วยอาตมันของอัลลอฮ) ส่วนคุณลักษณะอื่นๆที่นอกเหนือจากนี้พวกเขาจะตีความ เช่น การตีความคุณลักษณะอัล-เฆาะฎ็อบ (ความกริ้ว) ด้วยความหมายว่า ความประสงค์ที่จะลงโทษ อัร-ริฎอ (ความพอพระทัย) ด้วยความหมายว่า ความประสงค์ที่จะให้ผลตอบแทน อิสติวาอ์ของอัลลอฮฺเหนืออะรัช (บัลลังก์) ด้วยความหมายว่า การมีอำนาจและการครอบครอง และยังมีการตีความคุณลักษณะของอัลลอฮฺอื่นๆ อีกมากมาย

    4.จำกัดนิยามคำว่า “อัล-อีหม่าน” (การศรัทธา) ว่าหมายถึง การเชื่อมั่นด้วยจิตใจเท่านั้น ดังนั้น ตามทัศนะของพวกเขา เมื่อมนุษย์เกิดศรัทธาและเชื่อมั่นด้วยใจ ถึงแม้ว่ามิได้กล่าวคำปฏิญาณตนด้วยกะลิมะฮฺ ชะฮาดะฮฺตลอดชีวิต และมิได้ปฏิบัติกรรมดีด้วยอวัยวะก็ถือว่าเป็นมุอ์มินผู้ศรัทธาที่รอดพ้นจากการลงโทษในวันอาคิเราะฮฺ อัล-อีย์ญีย์ ได้กล่าวถึงนิยามอัล-อีหม่านในหนังสืออัล-มะวากิฟว่า นิยามของอัล-อีหม่าน ด้านวิชาการ ตามทัศนะของสำนักคิดพวกเรา(อัล-อะชาอิเราะฮฺ) และเป็นทัศนะของปราชญ์ (อิหม่าม) ส่วนใหญ่ เช่น ท่านอัล-กอฎีย์และอัล-อุสตาซ นั่นก็คือ อัล-อีหม่าน หมายถึง

    التصديق للرسول فيما علم مجيئه به ضرورة، فتفصيلا فيما علم تفصيلا، وإجمالا فيما علم إجمالا

    “การศรัทธาต่อเราะสูลในสิ่งที่ท่านนำมาบอกเล่าในเรื่องที่จำเป็นพื้นฐาน ศรัทธาในรายละเอียดที่สามารถรู้ถึงรายละเอียด และศรัทธาแบบโดยรวมในคำสอนที่รู้แบบรวมๆ” (อัล-มะวากิฟ หน้า 384)

    7. ปราชญ์แห่งสำนักคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺ

    สำนักคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺเต็มไปด้วยบรรดาปราชญ์ผู้รู้ พวกเขาเป็นผู้วางรากฐานของสำนักคิด วางกฎเกณฑ์ ชี้แจงความรู้เบื้องต้น และเผยแพร่แนวคิดของพวกเขา ตลอดจนพิทักษ์ปกป้องสำนักคิดของพวกเขาจากการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม แต่พวกเขาส่วนใหญ่ –ด้วยความที่พวกเขามีความรู้ที่ลุ่มลึก- ทำให้พวกเขาได้ประจักษ์ถึงจุดอ่อนของแนวทางนักวิภาษวิทยา (อะฮฺลุลกะลาม) จึงทำให้พวกเขาหันกลับไปสู่หลักคำสอนของชาวสะลัฟในบั้นปลายของชีวิต และเชื่อมั่นว่าแนวทางของชาวสะลัฟเป็นแนวทางที่ปลอดภัยกว่าและรอบรู้กว่า และมั่นคงกว่า ต่อไปนี้เราขอกล่าวถึงนักปราชญ์บางท่านของสำนักคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺที่มีชื่อเสียงโดดเด่น และระบุถึงการกลับคืนสู่แนวชาวสะลัฟของบางท่าน ดังต่อไปนี้

    1. อบู อัล-หะสัน อัฏ-เฏาะบะรีย์ ท่านเสียชีวิตราวปี ฮ.ศ. ที่ 380 ท่านเป็นศิษย์คนหนึ่งของอิหม่ามอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ ท่านอัล-อัสนะวีย์ ได้รายงานจากอบู อับดุลลอฮฺ อัล-อะสะดีย์ ซึ่งได้กล่าวในหนังสือ มะนากิบ อัช-ชาฟิอีย์ ว่า “อาจารย์ของเรา อบู อัล-หะสัน บิน มะฮฺดีย์ อัฏ-เฏาะบะรีย์ เป็นหาฟิซฺ (ผู้ที่จำ) วิชาฟิกฮฺ วิภาษวิทยา อรรถาธิบายอัลกุรอาน ตรรกวิทยาและประวัติศาสตร์อาหรับ ท่านเป็นผู้ที่มีวาทะฉะฉาน มีปฏิภาณไหวพริบในการโต้ตอบ ไม่มีบุคคลใดที่มีลักษณะเสมอเหมือนท่านในยุคนั้น ท่านเป็นปราชญ์ที่มีงานเขียนมากมายในหลายสาขาวิชา ท่านอยู่กับอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง” (หนังสือเฏาะบะกอต อัช-ชาฟิอียะฮฺ เล่มที่ 2 หน้า 398)

    2. อบูบักรฺ อัล-บากิลลานีย์ เสียชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ. 403 อิหม่ามอัซ-ซะฮะบีย์ ได้กล่าวถึงชีวประวัติของท่านในหนังสือสิยัรฺ อะอฺลาม อัน-นุบะลาอ์ ว่า “ท่านได้ช่วยเหลือแนวคิดของอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ ในบางครั้งท่านมีความเห็นที่แต่งต่างจากอัล-อัชอะรีย์ ท่านได้ศึกษาวิชาวิภาษวิทยาจากลูกศิษย์ของอบู อัล-หะสัน” บรรดานักวิจัยถือว่า ท่านเป็นผู้ก่อตั้งคนที่สองของสำนักคิดอัล-อัชอะรีย์ ท่านคือผู้วางกฎเกณฑ์ วางรากฐานวิชาวิภาษวิทยา ท่านได้ศึกษาหาความรู้จากลูกศิษย์ของอัล-อัชอะรีย์ และมีความรู้เหนือพวกเขา

    3. มูหัมหมัด บิน อัล-หะสัน บิน เฟาร็อก เสียชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ. 406 ท่านได้ศึกษาแนวคิดของอัล-อัชอะรีย์จาก อบู อัล-หะสัน อัล-บาฮิลีย์ ศิษย์ของอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ ท่านคืออิหม่ามคนสำคัญท่านหนึ่งของสำนักคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺ

    4. อบู อัล-มะอาลีย์ อิหม่าม อัล-หะเราะมัยนฺ อับดุลมะลิก บิน อับดุลลอฮฺ อัล-ญุวัยนีย์ ท่านเกิดเมื่อปี ฮ.ศ. 419 ท่านได้ศึกษาวิชาต่างๆ จากบิดาของท่านเอง ท่านคือปราชญ์สำคัญของสำนักคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺ และถือว่าท่านเป็นผู้ปฏิรูปภายในสำนักคิด และได้วิพากษ์วิจารณ์บางทัศนะของสำนักคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺ ท่านได้ศึกษาวิชาวิภาษวิทยาถึงระดับขั้นสูงสุด หากทว่าในบั้นปลายชีวิตท่านได้ย้อนกลับสู่แนวทางของชาวสะลัฟ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากนักวิชาการหลายท่าน หนึ่งในนั้นคือท่าน อบู อัล-ฟัตหฺ อัฏ-เฏาะบะรีย์ กล่าวว่า “ฉันได้เข้าเยี่ยมอบู อัล-มะอาลีย์ ขณะที่ท่านป่วย ท่านกล่าวว่า พวกท่านจงเป็นพยานให้แก่ฉันด้วยว่า ฉันขอถอนคำพูดและทัศนะของฉันทุกอย่างที่ขัดแย้งกับอัซ-ซุนนะฮฺ (แนวทางของท่านนบี) และฉันขอตายบนแนวทางของบรรดาปราชญ์แห่งเมืองนัยสาบูรฺ (โปรดดู สิยัร อะอฺลาม อัน-นุบะลาอ์ เล่มที่ 18 หน้าที่ 474) นอกจากนี้ท่านได้กล่าวสั่งเสียในหนังสือ อัล-ฆิยาษีย์ (ซึ่งเป็นตำราเล่มสุดท้ายของท่าน) ว่า ให้ยึดมั่นในแนวทางของชาวสะลัฟ ซึ่งเป็นแนวทางที่เที่ยงตรง ก่อนที่จะเกิดแนวคิดของผู้ที่ชอบอุตริและหลงทาง และท่านยังกล่าวว่าแนวทางของชาวสะลัฟนั้นพวกเขากระตือรื้อรนและจริงจังในการประกอบคุณงามความดี และหลีกห่างในเรื่องที่เป็นปัญหาซับซ้อน จำเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละคนต้องปฏิบัติตามแนวทางของชนเหล่านั้น

    5. อบู หามิด มุหัมหมัด บิน มุหัมหมัด อัล-เฆาะซาลีย์ เสียชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ. 505 อิหม่ามอัซ-ซะฮะบีย์ กล่าวว่า ในบั้นปลายชีวิตของท่านทุ่มเทกับการศึกษาหะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และชอบสนทนากับนักวิชาการหะดีษ อีกทั้งยังอ่านทบทวนตำราหะดีษ ของอัล-บุคอรีย์และมุสลิม ซึ่งทั้งสองท่านถือว่าเป็นหุจญะฮฺ อัล-อิสลาม (ฉายานามที่เรียกขานเพื่อเป็นการให้เกียรติ) หากท่านยังคงมีชีวิตอยู่ท่านทั้งสองคงมีความรู้นำหน้าในทุกแขนงวิชา (โปรดดู สิยัร อะอฺลาม อัน-นุบะลาอ์ เล่มที่ 19 หน้าที่ 323-324)

    6. อบู อัล-ฟัตหฺ มุหัมหมัด บิน อับดุลกะรีม บิน อะหฺมัด อัช-ชะฮฺร็อสตานีย์ เสียชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ. 548 ท่านได้กลับตัวจากสำนักคิดวิภาษวิทยา สู่แนวทางอันบริสุทธิ์ ดังปรากฏคำกล่าวของท่านในหนังสือ นิฮายะฮฺ อัล-อิกดาม ฟี อิลมฺ อัล-กะลาม หน้าที่ 4 ว่า " عليكم بدين العجائز فإنه من أسنى الجوائز " “พวกเจ้าจงยึดมั่นตามแนวคิดของคนเฒ่าคนแก่ (ชนชาวสะลัฟ) เพราะมันเป็นรางวัลอันสูงส่ง”

    7. อบู อับดิลละฮฺ มุหัมหมัด บิน อุมัรฺ บิน อัล-หุสัยนฺ อัร-รอซีย์ ท่านเป็นที่รู้จักกันในนาม อิบนุ เคาะฏีบ อัร-ร็อยย์ เสียชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ. 606 มีการกล่าวถึงท่านในหนังสือ ลิสาน อัล-มิซาน เล่มที่ 4 หน้า 427 ว่า แม้ว่าท่านเป็นผู้รู้อย่างลุ่มลึกในเรื่องหลักการเชื่อมั่น ท่านยังกล่าวอีกว่า “ผู้ใดที่ยึดมั่นตามแนวทางชนรุ่นก่อนเขาจะประสบความสำเร็จ” ท่านอิบนุ เศาะลาหฺ ได้รายงานจาก อัล-กุฏุบ อัฏ-เฏาะอานีย์ ว่า เขาเคยได้ยินฟัครุดดีน อัร-รอซีย์ กล่าวว่า “หากฉันไม่ศึกษาวิชาวิภาษวิทยาเลยจะเป็นการดีกว่า” จากนั้นท่านได้ร้องไห้ มีรายงานว่าท่านกล่าวว่า “ฉันได้ทดสอบแนวทางวิภาษวิทยาและปรัชญาต่างๆ ปรากฏว่าวิชาเหล่านั้นไม่ได้ทำให้หายกระหายหรือหายป่วย(คือไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย) และฉันพบว่าแนวทางที่เที่ยงตรงที่สุดคือแนวทางของอัลกุรอาน”

    8. ใคร่ครวญหลักคำสอน อัล-อะชาอิเราะฮ

    นับเป็นเรื่องที่น่าฉงนสนเท่ห์ที่สำนักคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺเองยอมรับว่าการตีความในศิฟัต (คุณลักษณะ) ของอัลลอฮฺนั้น เป็นแนวทางที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งไม่เคยปรากฏในยุคชาวสะลัฟ (กัลยาณชนรุ่นแรก) ไม่ว่าจะเป็นยุคของเศาะหาบะฮฺ หรือยุคของอัต-ตาบิอีน โดยพวกเขาได้สร้างวาทกรรมที่โดดเด่นว่า “แนวทางของชาวสะลัฟ (กัลยาณชนรุ่นแรก) เป็นแนวทางที่ปลอดภัยกว่า และแนวทางของชาวเคาะลัฟ (ชนรุ่นหลัง) เป็นแนวทางที่รอบรู้และฉลาดกว่า” กล่าวคือแนวคิดของการตีความในหมู่ชนรุ่นหลังย่อมรู้ดีและฉลาดกว่าแนวคิดของชนชาวสะลัฟที่มอบหมายข้อเท็จจริง ซึ่งวาทกรรมนี้ส่อให้เห็นเจตนาดูแคลนแนวทางของชาวสะลัฟในความรู้และความเข้าใจของพวกเขาต่อเรื่องคุณลักษณะของอัลลอฮฺ การดูถูกดูแคลนเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นนอกจากด้วยปากของผู้ที่ไม่รู้ฐานะและสถานภาพชาวสะลัฟในความรู้ความเข้าใจในศาสนาอย่างแท้จริง

    การอภิปรายคำพูดและหลักการเชื่อมั่นของอัล-อะชาริเราะฮฺในประเด็นที่ขัดแย้งกับแนวคิดของชาวสะลัฟ ทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดโดยปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ ถึงความปลอดภัยของแนวคิดของชาวสะลัฟจากความขัดแย้งและความสับสน ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้ วิทยปัญญาและความปลอดภัย

    ต่อไปนี้คือการอภิปรายในบางประเด็นของหลักการเชื่อมั่นของ อัล-อะชาอิเราะฮฺ เพื่อให้เกิดความชัดแจ้งว่า ความรู้ของชาวสะลัฟนั้นย่อมประเสริฐเหนือกว่าแนวคิดของชาวเคาะลัฟ และแนวคิดของชาวสะลัฟนั้นถูกต้องกว่าแนวคิดที่เกิดขึ้นมาภายหลัง

    1.ประเด็น การใช้เหตุผลทางปัญญาก่อนหลักฐาน ตามกฎที่แนวคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺวางไว้

    ข้อโต้ตอบ : อะฮลุสสุนนะฮฺ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างปัญญาที่สมบูรณ์ชัดเจน กับหลักฐานที่ถูกต้อง ในความเป็นจริงประเด็นดังกล่าวไม่เคยปรากฏขึ้นเลย

    สติปัญญาได้เป็นสักขีพยานต่อความเป็นเราะสูลหรือนบีอย่างแท้จริง ดังนั้น อาศัยหลักดังกล่าวจึงจำเป็นต้องยึดความเป็นสักขีพยานของปัญญาในเรื่องนี้ ด้วยการเชื่อในสิ่งที่ท่านเราะสูลนำมาบอกทุกประการ และเชื่อฟังในสิ่งที่ท่านเราะสูลสั่งใช้ให้กระทำ เมื่อท่านเราะสูลบอกว่า อัลลอฮฺทรงดำรงอยู่เหนือพ้นฟากฟ้า ปัญญาก็จำเป็นต้องเชื่อในสิ่งที่ท่านบอกด้วย หากเมื่อใดที่เหตุผลทางปัญญามานำหน้าหลักฐาน ก็เท่ากับว่าเป็นการกล่าวหาต่อการเป็นสักขีพยานของสติปัญญา ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายการเป็นสักขีพยานของสติปัญญาต่อความสัจจริงของท่านเราะสูล และเป็นการทำลายศาสนา

    2. ประเด็น การปฏิเสธว่าอัลลอฮฺทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ประสงค์

    ข้อโต้ตอบ : ประเด็นนี้เป็นหลักการเดิมของอัล-อะชาอิเราะฮฺที่ปฏิเสธว่าอัลลอฮฺทรงมีการเปลี่ยนแปลงสถานะ ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่โมฆะ แท้จริงแล้วอัลลอฮฺทรงมีอำนาจที่สมบูรณ์ พระองค์ทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ได้ทุกกาลเวลา ดังที่มีหลักฐานยืนยันจากอัลกุรอาน อัซ-ซุนนะฮฺ และมติเห็นพ้องของเศาะหาบะฮฺ ดังที่อัลลอฮฺตรัสว่า

    ﭽ ﮐ ﮑ ﮒ ﮓ ﮔﮕ ﮖ ﮗ ﮘ ﮙ ﮚﭼ الرحمن: ٢٩

    ความว่า “ผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินจะวอนขอต่อพระองค์ ทุกๆ ขณะพระองค์ทรงมีภารกิจ” (ซูเราะฮฺ อัร-เราะหฺมาน อายะฮฺที่ 29)

    ﭽ ...ﭹ ﭺ ﭻ ﭼ ﭽ ﭾﭼ الطلاق: ١

    ความว่า “บางทีอัลลอฮฺจะทรงปรับปรุงกิจการ (ของเขา) หลังจากนั้น” (ซูเราะฮฺ อัฏ-เฏาะลาก อายะฮฺที่ 1)

    3. ประเด็น การจำกัดจำนวนคุณลักษณะของอัลลอฮฺเพียง 7 ประการนั้นคือ อัล-หะยาฮฺ (ทรงมีชีวิต) อัล-อิลมฺ (ทรงมีความรู้) อัล-กุดเราะฮฺ (ทรงอานุภาพ) อัล-อิรอดะฮฺ (ทรงพระประสงค์) อัส-สัมอฺ (ทรงได้ยิน) อัล-บะศ็อรฺ (ทรงมองเห็น) และ อัล-กะลาม อัน-นัฟสีย์ (คำพูดที่ดำรงอยู่ด้วยอาตมัน ของอัลลอฮ) ส่วนคุณลักษณะอื่นๆ นั้นพวกเขาจะตีความเป็นอย่างอื่น

    ข้อโต้ตอบ : แนวคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าแปลกและขัดแย้งกันอย่างยิ่ง หากไม่แล้ว ทำไมพวกอัล-อะชาอิเราะฮฺจึงตีความคุณลักษณะ อัร-เราะหฺมะฮฺ (ความเมตตา) แต่ไม่ได้ตีความคุณลักษณะ อัส-สัมอฺ (ทรงได้ยิน) หากพวกเขากล่าวว่า คุณลักษณะ อัร-เราะหฺมะฮฺ (ความเมตตา) นั้น บ่งชี้ถึงความอ่อนโยนของจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับอัลลอฮฺ เพราะจะไปคล้ายคลึงกับคุณลักษณะของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมา ถ้าเช่นนั้นคุณลักษณะ อัส-สัมอฺ (ทรงได้ยิน) ก็ไม่สมควรใช้กับอัลลอฮฺเช่นกัน เพราะการยอมรับในคุณลักษณะของอัส-สัมอฺจะไปคล้ายคลึงกับคุณลักษณะของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมา หากพวกเขากล่าวว่า พวกเรายืนยันคุณลักษณะ อัส-สัมอฺที่เหมาะสมกับอัลลอฮฺ เราก็ขอตอบว่า ดังนั้น พวกท่านก็จงยืนยันคุณลักษณะอัร-เราะหฺมะฮฺที่เหมาะสมกับอัลลอฮฺดังที่พวกท่านได้ยืนยันคุณลักษณะของอัส-สัมอฺที่เหมาะสมกับพระองค์

    4. ประเด็น การให้คำนิยาม อัล-อีหม่าน (ความศรัทธา) หมายถึง การเชื่อมั่นด้วยจิตใจเท่านั้น

    ข้อโต้ตอบ : เป็นทัศนะที่ขัดแย้งกับอิจญ์มาอ์(มติเห็นพ้อง) และหลักฐานจากอัลกุรอานและอัซ-ซุนนะฮฺ ส่วนอิจญ์มาอ์นั้น อิหม่ามอัช-ชาฟิอีย์ได้กล่าวว่า เป็นอิจญ์มาอ์ของเศาะหาบะฮฺ อัต-ตาบิอีน และผู้คนหลังจากยุคนั้นที่ข้าพเจ้ามีชีวิตทันกับยุคของพวกเขาว่า “อัล-อีหม่าน คือ คำพูด การกระทำ และการตั้งใจ และอัล-อีหม่านจะไม่สมบูรณ์หากขาดไปอย่างหนึ่งอย่างใดจาก 3 ประการดังกล่าว” ดังนั้น ความเชื่อ การทำอะมัลที่ดี และการกล่าวคำปฏิญาณ (ชะฮาดะฮฺ) เป็นหลักการของอีหม่าน และถือว่าอีหม่านไม่สมบูรณ์และไม่ถูกต้องหากปราศจากสิ่งเหล่านั้น หลักฐานต่างๆ จากอัลกุรอานและสุนนะฮฺที่ยืนยันสนับสนุนการอิจญมาอ์ในเรื่องนี้มีมากมายเกินกว่าจะนับให้ครบถ้วนทีเดียว

    ที่มา

    http://www.islamweb.net/media/index.php?page=article&lang=A&id=65287