×
อิสลามได้สั่งเสียเพื่อกระทําดีต่อพ่อแม่ในหลายๆ โองการในคัมภีร์อัลกุรอาน และพระองค์ได้ทรงกล่าวถึงสิทธิของทั้งสองพร้อมๆ กับการกล่าวถึงสิทธิของพระองค์เอง แสดงให้เห็นว่า สิทธิที่ทั้งสองสมควรได้รับในอิสลามมีความสําคัญและประเสริฐมาก และถือว่า การทําดีต่อแม่ การแสดงความกตัญญูต่อท่าน ตลอดจนการน้อมรับตามคําสั่งของท่านและการรักใคร่ท่านเป็นการเฉพาะ คือหนึ่งหนทางที่จะนําไปสู่สรวงสวรรค์

    สิทธิของสตรีตามทัศนะอิสลามในฐานะแม่

    ﴿حقوق المرأة في الإسلام أُمّاً﴾

    ] ไทย – Thai – تايلاندي [

    อับดุรเราะห์มาน อับดุลกะรีม อัช-ชีหะฮฺ

    แปลโดย : อิบนุ ร็อมลี ยูนุส

    ผู้ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน

    ที่มา : หนังสือ สตรีใต้ร่มเงาอิสลาม

    2010 - 1431

    ﴿حقوق المرأة في الإسلام أُمّاً﴾

    « باللغة التايلاندية »

    عبدالرحمن بن عبدالكريم الشيحة

    ترجمة: ابن رملي يونس

    مراجعة: صافي عثمان

    مصدر: كتاب المرأة في ظل الإسلام

    2010 - 1431

    ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

    สิทธิของสตรีตามทัศนะอิสลามในฐานะแม่

    อิสลามได้สั่งเสียเพื่อกระทําดีต่อพ่อแม่ในหลายๆ โองการในคัมภีร์อัลกุรอาน และพระองค์ได้ทรงกล่าวถึงสิทธิของทั้งสองพร้อมๆ กับการกล่าวถึงสิทธิของพระองค์เอง แสดงให้เห็นว่า สิทธิที่ทั้งสองสมควรได้รับในอิสลามมีความสําคัญและประเสริฐมาก อัลลอฮฺตรัสในคัมภีร์อัลกุรอานว่า

    ﴿وَقَضَى رَبُّكَ أَلاَّ تَعْبُدُواْ إِلاَّ إِيَّاهُ وَبِالْوَالِدَيْنِ إِحْسَاناً إِمَّا يَبْلُغَنَّ عِندَكَ الْكِبَرَ أَحَدُهُمَا أَوْ كِلاَهُمَا فَلاَ تَقُل لَّهُمَا أُفٍّ وَلاَ تَنْهَرْهُمَا وَقُل لَّهُمَا قَوْلاً كَرِيماً﴾ (الإسراء : 23 )

    ความว่า : “และพระเจ้าของเจ้าบัญชาว่า พวกเจ้าอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้นและจงทำดีต่อบิดามารดา เมื่อผู้ใดในทั้งสองหรือทั้งสองบรรลุสู่วัยชราอยู่กับเจ้า ดังนั้นอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่า อุ๊ฟ ! (กล่าวเชิงไม่พอใจ เช่นคำ หึ เป็นต้น) และอย่าขู่เข็ญท่านทั้งสอง และจงพูดแก่ท่านทั้งสองด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน และจงนอบน้อมแก่ท่านทั้งสอง ซึ่งการถ่อมตนเนื่องจากความเมตตา และจงกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของฉัน ทรงโปรดเมตตาแก่ท่านทั้งสองเช่นที่ทั้งสองได้เลี้ยงดูฉันเมื่อเยาว์วัย” [1]

    - อิสลามถือว่า การทําดีต่อแม่ การแสดงความกตัญญูต่อท่าน ตลอดจนการน้อมรับตามคําสั่งของท่านและการรักใคร่ท่านเป็นการเฉพาะ คือหนึ่งหนทางที่จะนําไปสู่สรวงสวรรค์ มีชายคนหนึ่งซึ่งนามว่า ญาฮิมะฮฺ ได้มาพบท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ - ขออัลลอฮฺทรงประทานความโปรดปรานแก่ท่านด้วยเถิด- แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺแท้จริงแล้วฉันต้องการออกรบ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมาปรึกษาท่าน ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ – ขอความสันติจงมีแด่ท่าน - ตอบว่า “เจ้ามีแม่ใช่หรือไม่?” เขาตอบว่า ใช่ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ -ขอความสันติจงมีแด่ท่าน- ตอบว่า “เจ้าจงอยู่กับแม่ของท่านเถิด แท้จริงแล้ว สวรรค์นั้น อยู่ ณ เท้าทั้งสองข้างของท่าน” [2]

    ด้วยเหตุที่ว่า โดยส่วนมากสตรีจะมีความอ่อนแอเมื่อออกไปอยู่ในสังคมนอกบ้าน บางครั้งนางอาจถูกฉวยโอกาสเนื่องจากผลประโยชน์ของคนบางคนในสังคม หรือไม่ก็อาจจะถูกลิดรอนสิทธิ การที่อิสลามเอ่ยชื่อแม่ก่อนพ่อในเรื่องสิทธิๆ ต่างที่สมควรให้แก่แม่ เช่น การทําดี การรักใคร่ การคบหา ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องสิทธิของแม่นั่นเอง รายงานจากท่านอบีฮุรอยเราะฮฺ - ขออัลลอฮฺทรงประทานความโปรดปรานแก่ท่านด้วยเถิด- กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งได้เข้าหาท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺและกล่าวว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺใครเล่าที่ฉันสมควรทําดีในการคบหากับเขามากที่สุด ? ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ-ขอความสันติจงมีแด่ท่าน- ตอบว่า “แม่ของเจ้า” เขาถามอีกว่า แล้วใครต่อ ? ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺตอบว่า “แม่ของเจ้า” เขาถามอีกว่า แล้วใครอีก ท่านตอบว่า “แม่ของเจ้า” เขาถามอีกว่า แล้วใครอีก ท่านตอบว่า “พ่อของเจ้า” [3]

    วจนะของท่านศาสนทูตข้างต้นนี้ บ่งบอกว่า การทําดีต่อแม่ต้องเป็นสามเท่าของพ่อ เนื่องจากความทุกข์ยากของแม่ครั้งที่ตั้งครรภ์ จากนั้นก็ความลําบากยามคลอด จนกระทั่งความยากเย็นในช่วงการให้น้ำนม ทั้งสามเรื่องนี้เป็นสิ่งที่แม่ต้องรับภาระหนักเพียงผู้เดียว แล้วผู้เป็นพ่อจึงค่อยมาสานต่อช่วงการเลี้ยงดูและการอบรมสั่งสอนลูก

    ดังนั้น แม่ คือผู้ที่รับภาระอุ้มตัวเราในท้องมา และเราได้ใช้ชีวิตในนั้นด้วยสารอาหารของแม่ด้วยระยะเวลาถึง 9 เดือน หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงของการให้น้ำนม ซึ่งถ้าคิดเป็นระยะเต็ม ๆ อย่างสมบูรณ์คือประมาณ 2 ปี

    อัลลอฮฺตรัสในกุรอานว่า

    ﴿وَوَصَّيْنَا الْإِنسَانَ بِوَالِدَيْهِ حَمَلَتْهُ أُمُّهُ وَهْناً عَلَى وَهْنٍ وَفِصَالُهُ فِي عَامَيْنِ أَنِ اشْكُرْ لِي وَلِوَالِدَيْكَ إِلَيَّ الْمَصِيرُ﴾ (لقمان : 14 )

    ความว่า “โดยที่มารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขาอย่างอ่อนเพลียครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งการหย่านมของเขาในระยะเวลาสองปี เจ้าจงขอบคุณข้า และบิดามารดาของเจ้า ยังเรานั้น คือการกลับไป” [4]

    การอกตัญญูต่อแม่ การละเมิดคําสั่งของท่าน และการละเลยต่อสิทธิที่ท่านสมควรได้รับ เป็นเรื่องที่ต้องห้ามในอิสลาม ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ-ขอความสันติจงมีแด่ท่าน- กล่าวว่า “แท้จริงแล้วอัลลอฮฺทรงห้ามพวกเจ้าไม่ให้ทรยศต่อบรรดาแม่ การห้ามมอบสิ่งใดที่ใครสักคนสมควรได้รับหรือการขอให้ได้ในสิ่งที่เขาไม่สมควรได้รับ และการฝังลูกหญิงทั้งเป็น และแท้จริงแล้วอัลลออฺทรงกริ้วการกระทําของพวกเจ้าดังนี้คือ การกล่าวว่า ได้ยินเขาคนนั้นพูดอย่างนั้น เขาคนนี้พูดอย่างนี้ (การพูดมากจนต้องเผชิญกับความผิดพลาดอย่างมาก) การสักถามมากเกินไป และการทําลายทรัพย์สินโดยเปล่าประโยชน์” [5]

    - การเคารพเชื่อฟังและน้อมรับต่อคําสั่งของแม่ ไม่ขัดคําสั่งท่านตราบใดที่ท่านมิได้ใช้ให้ท่านกระทําในสิ่งอัลลอฮฺทรงห้าม หากเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีการปฎิบัติตามท่านอีกแล้ว เพราะความโปรดปรานของพระองค์อัลลอฮฺต้องมาก่อนความโปรดปรานของท่าน การภักดีต่ออัลลอฮฺต้องมาก่อนการภักดีต่อท่าน แต่ทั้งนี้หาใช่ว่าเป็นการอนุญาตให้เราแสดงพฤติกรรมอันไร้มารยาทต่อท่านด้วยการด่าหรือตะคอกใส่ หากแต่การกระทําที่สมควร ณ ที่นี้ คือ การอ่อนโยนและการเข้าใกล้ท่านด้วยความรักใคร่ พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลด้วยความสุภาพอ่อนโยน ดังที่อัลลอฮฺตรัสในโองการหนึ่งว่า

    ﴿وَإِن جَاهَدَاكَ عَلى أَن تُشْرِكَ بِي مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ فَلَا تُطِعْهُمَا﴾ (لقمان : 15 )

    ความว่า “และถ้าเขาทั้งสองบังคับเจ้าให้ตั้งภาคีต่อข้า โดยที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น เจ้าอย่าได้เชื่อฟังปฏิบัติตามเขาทั้งสอง” [6]

    - หนึ่งในความยิ่งใหญ่แห่งบุญคุณของพ่อแม่และสิทธิอันชอบธรรมซึ่งประเสริฐยิ่งตามที่อัลลอฮฺตรัสให้เราทราบก็คือ การที่ความโปรดปรานของพระองค์ขึ้นอยู่กับความโปรดปรานของทั้งสอง ความกริ้วของพระองค์ก็ขึ้นอยู่กับความโกรธกริ้วของทั้งสอง ทั้งนี้ก็เพื่อให้บรรดาลูกๆ เร่งรีบหาหนทางในการดําเนินชีวิตที่ดีโดยให้ห่างไกลจากสิ่งที่สร้างความรบกวนและความเดือดร้อนแก่ท่านทั้งสอง ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ-ขอความสันติจงมีแด่ท่าน- กล่าวว่า “ความโปรดปรานของอัลลอฮฺขึ้นอยู่กับความโปรดปรานของพ่อแม่ และความกริ้วของอัลลอฮฺขึ้นอยู่กับความโกรธกริ้วของพ่อแม่” [7]

    ดังนั้น การสร้างความโปรดปรานแก่ท่านทั้งสองและการทําดีต่อท่านทั้งสองคือสาเหตุหนึ่งที่จะนําไปสู่สรวงสวรรค์ ในทางกลับกัน การสร้างความโกรธเคืองและการอกตัญญูแก่ท่านนั้น คือสาเหตุหนึ่งที่จะนําไปสู่การเข้านรก ตามที่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺได้กล่าวไว้ ซึ่งรายงานโดย อบู อุมามะฮฺ ว่า มีชายคนหนึ่งกล่าวแก่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ อะไรคือหน้าที่ของลูกๆ ที่มีต่อพ่อแม่ทั้งสอง ? ท่านกล่าวว่า “ทั้งสองคือ สวรรค์และนรกของเจ้า” [8]

    - ในทัศนะอิสลาม ถือว่า การทําดีต่อพ่อแม่ต้องมาก่อนการปฏิบัติทําศาสนกิจที่ไม่บังคับ เช่น การกระทำที่เป็นสุนัตและการงานอื่นๆ ที่ไม่บังคับ ดังที่ได้รายงานโดยท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ – ขออัลลอฮฺทรงประทานความโปรดปรานแก่ท่านด้วยเถิด - จากท่านศาสนทูตมุฮัมมัด กล่าวว่า “ไม่มีใครที่พูดได้ในขณะที่อยู่ในเปล นอกจากบุคคลทั้งสามนี้ คือ อีซา ลูกของมัรยัม – ขออัลลอฮฺทรงประทานความโปรดปรานแก่ท่านด้วยเถิด - และชายคนหนึ่งจากวงศ์วานอิสรออีลมีนามว่า ญุร็อยจญ์ ซึ่งเป็นคนที่เคร่งในการปฏิบัติศาสนกิจ เขาได้สร้างหอสวดและพํานักอยู่ในนั้น วันหนึ่งแม่ของเขาได้มาหาเขาในขณะที่เขากําลังละหมาดอยู่ แม่ของเขากล่าวว่า นี่ญุร็อยจญ์ เขากล่าวว่า โอ้พระเจ้าของข้า ระหว่างแม่ของฉันและละหมาดของฉัน(ฉันควรจะใส่ใจสิ่งไหนดี)? เขาเลยหันไปละหมาดแทน แม่เขาเลยกลับไป เมื่อถึงวันพรุ่งแม่ของเขามาหาเขาอีกครั้งในขณะที่เขาละหมาดอยู่เหมือนเดิม แม่กล่าวว่า โอ้ ญุร็อยจญ์ เขากล่าวว่า โอ้พระเจ้าของข้า แม่ของฉันและละหมาดของฉัน ? เขาเลยละหมาดต่อโดยไม่สนใจเเม่ของเขา เมื่อถึงวันพรุ่งนี้แม่ของเขามาหาเขาอีกครั้งในขณะที่เขาละหมาดอยู่เหมือนเดิม แม่กล่าวว่า โอ้ ญุร็อยจญ์ เขากล่าวว่า โอ้พระเจ้าของข้า แม่ของฉันและละหมาดของฉัน? เขาเลยละหมาดต่อโดยไม่สนใจเเม่ของเขา แม่ของเขาเลยกล่าว ( ดุอาอ์ ) ว่า โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์อย่าได้เอาชีวิตของเขานอกจากเขาจําต้องเผชิญหน้ากับหน้าผู้หญิงชั่ว ดังนั้น วงศ์วานอิสรออีลเลยพากันเล่าเรื่องราวของญุร็อยจญ์และการปฏิบัติทําศาสนกิจของเขาอย่างต่อเนื่อง และแล้วปรากฏว่ามีหญิงชั่วคนหนึ่งปรารถนาจะเสนอตัวด้วยความงามของนางเพื่อทดสอบญุร็อยจญ์ นางกล่าวว่า ถ้าพวกท่านต้องการ ฉันจะชักชวนเขาเอง นางจึงไปเสนอตัวต่อหน้าเขา แต่เขาไม่สนใจนาง นางจึงไปหาคนเลี้ยงแกะที่หอสวดของเขาแทน นางได้เสนอตัวแก่เขาและเขาได้สนองตอบตามความต้องการของนางจนกระทั่งตั้งครรภ์ เมื่อเด็กคลอดออกมานางกล่าวว่า ทารกคนนี้เป็นบุตรของญุร็อยจญ์ แล้วพวกวงศ์วานอิสรออีลก็พากันไปหาญุร็อยจญ์ และบังคับให้เขาออกนอกหอสวด แล้วทําลายหอสวดของเขาทันที พวกเขาทุบตีญุร็อยจญ์ เขาจึงกล่าวว่า พวกท่านเป็นอะไร (เหตุใดจึงทำร้ายข้า) ? พวกเขาตอบว่า เจ้ามีชู้กับผู้หญิงชั่วคนนี้และนางได้คลอดลูกที่มาจากเจ้า เขาถามว่า เด็กคนนั้นอยู่ไหน ? พวกเขานําเด็กคนนั้นมา เขากล่าวว่า พวกเจ้าปล่อยฉันก่อนจนกว่าฉันจะละหมาดเสร็จได้หรือไม่? จากนั้นเขาก็ได้ลุกขึ้นละหมาด แล้วจึงเข้าไปหาเด็กทารกคนนั้นพร้อมกล่าวว่า โอ้ เด็กน้อย ใครคือพ่อของเจ้า ? เด็กคนนั้นตอบว่า ผู้ชายคนนั้นที่เลี้ยงแกะ เมื่อพวกวงศ์วานอิสรออีลได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงรีบเข้าหาญุร็อยจญ์ทันทีและต่างคนต่างจูบเขาและลูบร่างเขา แล้วพวกเขากล่าวว่า เราจะสร้างหอสวดให้เจ้าด้วยทอง เขาตอบว่า ไม่ เพียงแค่พวกเจ้าทํามันด้วยดินเหมือนเดิมก็พอแล้ว พวกเขาเลยทําตามสิ่งที่เขาบอก ...” [9]

    นอกจากนี้อิสลามสั่งให้กระทําดีต่อท่านทั้งสองมากกว่าการออกไปสู้รบเพื่อหนทางของอัลลอฮฺตราบใดที่การออกไปสู้รบไม่เป็นเรื่องบังคับ รายงานโดยอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ บิน อัลอาศ - ขออัลลอฮฺทรงประทานความโปรดปรานแก่ท่านทั้งสองด้วยเถิด- กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้เข้ามาหาท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺแล้วกล่าวว่า ฉันขอให้สัตยาบันกับท่านเพื่อการอพยพและการต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺเพื่อหวังผลบุญจากอัลลอฮฺ ท่านกล่าวว่า “เจ้ามีพ่อหรือแม่ของเจ้าหรือไม่?” เขากล่าวว่า ใช่ พวกเขาทั้งสองยังอยู่ ท่านกล่าวว่า “แล้วเจ้าต้องการผลบุญจากอัลลอฮฺหรือ?” เขาตอบว่า ใช่ ท่านกล่าวว่า “เจ้าจงกลับไปหาพ่อแม่ของเจ้า แล้วจงอยู่ใกล้ชิดกับเขาทั้งสองอย่างดี” [10]

    - ด้วยเหตุที่อิสลามมาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้เข้มแข็งและแน่นแฟ้น อิสลามจึงใช้ให้กระทําดีต่อพ่อแม่ด้วยการทุ่มเทและการมอบสิ่งดีๆ ต่อท่านทั้งสอง การกล่าววาจาที่สุภาพ และดูแลท่านเป็นอย่างดีแม้ว่าท่านทั้งสองจะอยู่ในศาสนาอื่นก็ตาม รายงานโดยอัสมาอ์ - ขออัลลอฮฺทรงประทานความโปรดปรานแก่ท่านด้วยเถิด- กล่าวว่า แม่ของฉันได้มาหาฉันในขณะที่นางยังเป็นมุชริกะฮฺอยู่ (ยังไม่รับอิสลาม) ฉันจึงถามท่านนบีเกี่ยวกับแม่ฉันว่า แท้จริง แม่ได้มาหาฉัน นางต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับฉัน ฉันควรจะเชื่อมสัมพันธ์กับท่านหรือไม่ ? ท่านนบีตอบว่า “เจ้าจงเชื่อมต่อความสัมพันธ์กับแม่เจ้าเถิด” [11]

    - และเพื่อเป็นการสนับสนุนให้มุสลิมทุกคนให้ความสําคัญต่อพ่อแม่ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ– ขอความสันติจงมีแด่ท่าน - ได้อธิบายว่า การทําดีต่อทั้งสองนั้นคือสาเหตุหนึ่งที่ทําให้พระองค์อัลลอฮฺทรงตอบรับการขอพรของเขา ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ– ขอความสันติจงมีแด่ท่าน - กล่าวว่า “มีบุคคลสามคนในยุคก่อนพวกท่านออกเดินทาง จนกระทั่งพวกเขาไปเจอถํ้าแห่งหนึ่งแล้วพักอาศัยในนั้นชั่วคราว ปรากฏว่า มีก้อนหินใหญ่หล่นลงมาจากเขา แล้วทับประตูทางเข้าของถํ้า หนึ่งในพวกเขากล่าวว่า แท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่สามารถผ่านก้อนหินนี้ได้นอกจากว่าพวกเจ้าต้องขอพรต่ออัลลอฮฺโดยอาศัยการงานที่ดีของพวกเจ้าเป็นสื่อกลาง ดังนั้น บางคนจึงกล่าวว่า โอ้ข้าแต่พระเจ้าของฉัน ฉันมีพ่อแม่วัยชรา และฉันไม่เคยเสนอเครื่องดื่มให้ภรรยาและบ่าวของฉันก่อนท่านทั้งสองเลย วันหนึ่งฉันกลับบ้านช้าเนื่องจากธุระบางอย่าง และได้รีดนมไว้เพื่อท่านทั้งสอง แต่เมื่อกลับไปถึงบ้านท่านทั้งสองได้นอนหลับแล้ว ฉันไม่ชอบเสนอเครื่องดื่มให้ภรรยาและบ่าวของฉันก่อนท่านทั้งสองเลย ดังนั้นฉันจึงนั่งรอท่านตื่นนอนในขณะที่มือของฉันถือแก้วอยู่ เมื่อถึงเวลาเช้าท่านทั้งสองตื่นขึ้นแล้วดื่มนมที่ฉันเตรียมไว้ โอ้ข้าแต่พระเจ้าของฉัน ถ้าการงานดังกล่าวที่ฉันทําไป คือการทำด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อพระองค์เท่านั้น ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือพวกเราให้พ้นจากความลําบากเพราะหินก้อนนี้เถิด และแล้วหินที่ปิดอยู่นั้นก็ถูกเปิดเพียงเล็กน้อย แต่พวกเขายังไม่สามารถออกจากถํ้าได้” ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ– ขอความสันติจงมีแด่ท่าน - กล่าวต่อว่า :

    “อีกคนกล่าวว่า โอ้ข้าแต่พระเจ้าของฉัน อาของฉันมีลูกสาว และเธอคือสาวที่ฉันรักที่สุด วันหนึ่งฉันต้องการตอบสนองอารมณ์ของฉันกับตัวเธอ แต่เธอปฏิเสธการกระทําของฉัน จนวันหนึ่งเธอได้เจอกับเรื่องหนึ่งซึ่งทําให้เธอต้องตกทุกข์มาก เธอจึงมาหาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ ฉันจึงให้เงินเธอ 120 ดีนาร์โดยที่ฉันกำหนดเงื่อนไขว่าเธอต้องอยู่ตามลําพังกับฉัน เธอยอมทำตามจนกระทั่งฉันต้องการร่วมประเวณีกับเธอ เธอกล่าวว่า ‘ฉันจะไม่อนุญาตให้เจ้าร่วมประเวณีกับฉันนอกจากด้วยวิธีที่ชอบธรรม’ ด้วยคําพูดนี้ทําให้ฉันสํานึกตัว ฉันเลยห้ามตัวเองได้ ทั้งๆ ที่เธอคือสาวที่ฉันรักที่สุด ฉันยอมให้เธอรับเงินไป โอ้ข้าแต่พระเจ้าของฉัน หากฉันได้กระทําสิ่งนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือพวกเราให้พ้นจากความลําบากเพราะหินก้อนนี้เถิด ทันใดนั้น หินที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดเพียงเล็กน้อย และพวกเขายังไม่สามารถออกจากถํ้าได้” ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ- ขอความสันติจงมีแด่ท่าน- กล่าวต่อว่า :

    “ส่วนคนที่สาม เขาได้กล่าวว่า โอ้ข้าแต่พระเจ้าของฉัน ฉันเคยจ้างคนงานหลายคนเพื่อทํางานของฉัน ฉันได้ให้ค่าตอบแทนแก่พวกเขาทั้งหมดยกเว้นคนเดียวที่ยังไม่ได้รับ และเขาได้เดินทางจากไป ฉันจึงเอาค่าตอบแทนของเขาไปลงทุนจนกระทั่งเป็นทรัพย์สินมหาศาล เขากลับมาหาฉันอีกครั้งหนึ่งหลังเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขากล่าวต่อฉันว่า โอ้บ่าวของอัลลอฮฺโปรดจ่ายค่าตอบแทนแก่ฉันเถิด ฉันตอบว่า ทุกสิ่งที่เจ้าเห็นทั้ง อูฐ วัว แพะ และบ่าว คือค่าตอบแทนของเจ้าทั้งหมด เขากล่าวว่า นี่บ่าวของอัลลอฮฺ ท่านอย่าได้ดูถูกฉันนะ ฉันกล่าวตอบเขาไปว่า ฉันไม่ดูถูกเจ้าหรอก เขาจึงรับมันไปทั้งหมด โอ้ข้าแต่พระเจ้าของฉัน หากฉันได้กระทําสิ่งนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือพวกเราให้พ้นจากความลําบากเพราะหินก้อนนี้เถิด ทันใดนั้น หินที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิด จนพวกเขาสามารถออกไปได้” [12]

    - อิสลามถือว่า การทําดีต่อพ่อแม่ทั้งสอง คือ ที่มาของการปลดบาปและคือสาเหตุหนึ่งที่อัลลอฮฺจะทรงอภัยความผิดทั้งปวง รายงานโดย อับดุลลอฮฺ บิน อุมัรฺ - ขออัลลอฮฺทรงประทานความโปรดปรานแก่ท่านทั้งสองด้วยเถิด- ท่านกล่าวว่า วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งมาเข้าพบท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺแล้วกล่าวว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ฉันได้ทําบาปกรรมอันใหญ่หลวง ฉันมีสิทธิจะกลับใจอีกหรือไม่ ? ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ- ขอความสันติจงมีแด่ท่าน- กล่าวว่า “เจ้ายังมีพ่อแม่อีกหรือไม่ ?” เขาตอบว่า ไม่ ท่านถามว่า แล้วเจ้ามีน้าหญิงหรือไม่ ? เขาตอบว่า ใช่ ท่านกล่าวว่า “เจ้าจงทําดีกับท่าน” [13]

    ทั้งนี้ เนื่องจากน้าหญิงหรือป้าข้างแม่ มีฐานะเหมือนแม่ เพราะท่านศาสนทูตเคยกล่าวว่า “น้าหญิงมีฐานะเหมือนแม่” [14]

    อิสลามรักษาสิทธิความชอบธรรมของพ่อแม่ แม้กระทั่งหลังจากทั้งสองถึงแก่กรรมแล้วก็ตาม รายงานโดยมาลิก บิน เราะบีอะฮฺ กล่าวว่า ในขณะที่พวกเรานั่งอยู่กับท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ มีชายคนหนึ่งจากเผ่าสะลามะฮฺมาหาท่านแล้วเขากล่าวว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ การทําดีต่อพ่อแม่ยังคงเหลืออีกไหมหลังจากที่ทั้งสองได้เสียไป ? ท่านกล่าวว่า “ใช่ โดยการขอดุอาอ์หรือ การขอให้ลุแก่โทษให้ท่านทั้งสอง และการทําตามสัญญาที่ท่านทั้งสองสั่งไว้หลังจากที่ท่านจากไป และการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ทางเครือญาติซึ่งทั้งสองเคยเชื่อมต่อกัน และการให้เกียรติแก่เพื่อนฝูงของท่านทั้งสอง” [15]

    [1] อัลกุรอาน บท อัลอิสรออ์ / 23

    [2] อัลมุสตัดร็อก อะลัศ เศาะฮีฮัยนฺ 4/ 167 หมายเลข 7248

    [3] เศาะฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ 5/2227 หมายเลข 5626

    [4] อัลกุรอาน บท ลุกมาน /14

    [5] เศาะฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ 5/2229 หมายเลข 5630

    [6] อัลกุรอาน บท ลุกมาน /15

    [7] เศาะฮีฮฺ อิบนิ หิบบาน 2/172 หมายเลข 429

    [8] สุนัน อิบนิ มาญะฮฺ 2/ 1208 หมายเลข 3662

    [9] เศาะฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ 3/ 1268 หมายเลข 3253

    [10] เศาะฮีฮฺ มุสลิม 4/ 1975 หมายเลข 2549

    [11] เศาะฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ 2/924 หมายเลข 2477 .

    [12] เศาะฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ 2/ 793 หมายเลข 2152

    [13] เศาะฮีฮฺ อิบนิ หิบบาน 2/ 177 หมายเลข 435

    [14] เศาะฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ 2/ 960 หมายเลข 2552

    [15] สุนัน อบี ดาวูด 4/ 336 หมายเลขที่ 5142