×
ข้อเท็จจริงความเป็นมา (ของศาสนาคริสต์)

    ข้อเท็จจริงความเป็นมา

    ของศาสนาคริสต์

    เรียบเรียงโดย

    ดร.มุฮัมมัด บิน อับดุลลอฮฺ อัสสิฮีม

    เผยเเผร่โดย

    ตัวเเทนฝ่ายการพิมพ์ เเละวิจัยด้านวิชาการ

    กระทรวงศาสนกิจ ศาสนสมบัติ เผยเเพร่ เเละเเนะนำ

    النصرانية

    الأصل والواقع

    فضيلة الدكتور

    محمد بن عبد الله السحيم

    ( باللغة التايلندية )

    وكالة المطبوعات والبحث العلمي

    وزارة الشؤون الإسلامية والأوقاف والدعوة والإرشاد

    المملكة العربية السعودية

    ข้อเท็จจริงความเป็นมา

    ของศาสนาคริสต์

    เรียบเรียงโดยดร.มุฮัมมัด บิน อับดุลลอฮฺ อัสสิฮีม

    คำนำผู้แปล

    การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงกล่าวยืนยันว่า

    แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นที่สามของสามองค์นั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธ" –ขอความโปรดปรานจากอัลลอฮฺได้มีแก่ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ้อลฯ ครอบครัว และบรรดาสาวกของท่านทั้งหลาย. ข้อเท็จจริงและความเป็นมาของคริสต์ศาสนา เป็นหนังสือเล่มเล็กที่ดร.มุฮัมมัด บินอับดุลลอฮฺ อัสสิฮีมได้เขียนขึ้นโดยอ้างหลักฐานยืนยันจากคัมภีร์ใบเบิลโดยเฉพาะ เพื่อพยายามลบล้างหลักความเชื่อถืออันบิดเบือนของชาวคริสต์ที่เกี่ยวกับการเทิดทูลและยกฐานะความเป็นพระเจ้าให้แก่ท่านศาสดาอีซา บุตรนางมัรยัม –ขอความเมตตาและความสันติสุขจงมีแด่ท่านทั้งสอง- ซึ่งถือเป็นบาปอันมหันต์ซึ่งอัลลอฮฺไม่สามารถให้อภัยได้.

    อิสลามไม่อนุมัติให้เคารพยกย่องแก่ผู้หนึ่งผู้ใดจนเลยเถิด ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับท่านศาสดาอีซา อลัย-ฮิสสาลาม (พระเยซู) ทั่งๆที่ท่านปฏิเสธไม่รู้เห็นด้วย เมื่ออัลลอฮฺทรงสอบสวนพระเยซูในวันอาคิเราะฮฺว่า “อีซาบุตรมัรยัมเอ๋ยเจ้าพูดแก่ผู้คนกระนั้นหรือว่า จงยึดถือฉันและแม่ของฉันเป็นพระเจ้าสององค์อื่นจากอัลลอฮฺ เขากล่าวว่ามหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ไม่พึงที่ฉันจะกล่าวในสิ่งที่ไม่มีสิทธิ์แก่ฉัน"๕ :๑๑๖ อัลลอฮฺได้กล่าวตอบโต้บรรดาชาวคริสต์ผู้หลงผิดไว้มากมายเช่น

    แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮฺคือ อัล-มะซีฮฺบุตรมัรยัมนั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว และอัล-มะซีฮฺได้กล่าวว่า วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย จงเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของฉัน และเป็นพระเจ้าของพวกท่านเถิด แท้จริงผู้ใดได้ตั้งภาคีแก่อัลลอฮฺ แน่นอนอัลลอฮฺจะให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา และที่พำนักของเขาคือนรก" ๕ : ๗๒

    โอ้บรรดาผู้รับคัมภีร์ทั้งหลาย เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงสวมความจริงไว้ด้วยความเท็จและปกปิดความจริงไว้ทั้งที่สูเจ้ารู้ดีกันอยู่" ๓ : ๗๑

    และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน ๓ : ๘๕

    ท่านศาสดาอิบรอฮีม อลัยฮิสสาลามผู้เป็นต้นตระกูลของพระเยซูไม่เคยเป็นยิวและไม่เคยเป็นคริสต์แต่ท่านเป็นผู้ภักดีต่ออัลลอฮฺ ตะอาลาอย่างเคร่งครัด พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างมวลมนุษย์ทั้งหลาย. ดังนั้นจงเคารพภักดีต่อพระองค์องค์เดียวและอย่าตั้งภาคีใดๆสำหรับพระองค์

    หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งชาวมุสลิมและชาวคคริสต์ผู้แสวงหาสัจธรรมความจริง จะได้รับประโยชน์จากหลักฐานข้ออ้างอิงเกี่ยวกับพระเยซูคคริสต์เป็นอย่างดี.ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงอภัยแก่ข้าพระองค์

    ในข้อผิดพลาดทั้งหลาย แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ.

    แท้จริงอัลลอฮฺคือผู้ประทานความสำเร็จ.

    อบูยุซรอ อิสมาอีล อะหมัด

    ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ

    คำนำ

    มวลการสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิ์แด่ผู้ทรงมิได้ยึดเอาผู้ใดเป็นพระบุตร และไม่มีภาคีใดๆสำหรับพระองค์ในอำนาจบริหาร และพระองค์ไม่(จำเป็นต้อง)มีผู้ช่วย(ซึ่งจะสร้าง)ความต่ำต้อย(แก่พระองค์) จงกล่าวสดุดีพระองค์ ด้วยการสดุดีที่ยิ่งใหญ่และความสันติสุขอย่างเหลือล้น ข้าพเจ้าขอปฏิฏานตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลออฮฺองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆสำหรับพระองค์ และข้าพเจ้าขอปฏิฏานตนว่ามุฮัมมัดเป้นบ่าวและรอซูล (ผู้สื่อ) ของพระองค์.

    นี่เป็นบทความสรุปย่อที่สุด ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะอธิบายชี้ชัดถึงความเป็นมาและข้อเท็จจริงของศาสนาศลิสต์ ซี่งข้าพเจ้าได้เขียนมันขึ้นสำหรับชาวคริสต์ เพื่อพวกเขาจะได้ยึดถือมั่นเคียงข้างสัจธรรมความจริงของหลักความเชื่อที่แท้จริงของพวกเขา และเพื่อให้พวกเขาทราบว่ามันได้เปลี่ยนกลายเป็นศาสนาแห่งสถานภาพมนุษย์ชาติจากเดิมที่เป็นสาสน์แห่งพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้นำเสนอโดยอาศัยหลักฐานอธิบายข้อเท็จจริงจากคัมภีร์เตารอฮฺ และอิลญีล (ใบเบิล) เพื่อเป็นที่ทราบว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะชี้แนะถึงข้อเท็จจริงและแนะนำความถูกต้องแก่เขา ข้าพเจ้าขอกล่าวด้วยความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺตะอาลาว่า

    ความเป็นมาของศาสนาคริสต์ คือ สาสน์แห่งพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับสาสน์อื่นๆของพระองค์ที่ถูกประทานลงมาเช่นสาสน์แห่งท่านศาสดานูฮฺ (โนอา) ท่านศาสดาอิบรอฮีม (อับราฮัม) ท่านศาสดามูซา (โมเซซ) – ขอความสันติสุขจงมี่แด่พวกเขาทั้งหลาย.

    สาสน์แห่งพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายนั้นต่างก็สอดคล้องกันในความเชื่อพื้นฐานของศาสนา เช่นศรัทธาว่าพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) มีองค์เดียว ไม่มีหุ้นส่วนใดๆสำหรับพระองค์ และพระองค์ไม่ทรงประสูติ (คือไม่มีบุตรธิดา) และ พระองค์ ไม่ถูกประสูติ (คือไม่มีบิดามารดา) และศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮฺ (ทูตสวรรค์) – วันสิ้นโลก –กฎกำหนดแห่งพระผู้ทรงสร้าง ทั่งดีและชั่วของมัน – และศรัทธาต่อบรรดาศาสนาทูตผู้สื่อและบรรดาศาสดา โดยไม่เคยปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์จากยุคสมัยท่านศาสดาอดัม – ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน – จนกระทั่งยุคสมัยศาสดาท่านสุดท้ายมุฮัมมัด ศ้อลฯ เลยว่าสาสน์แห่งพระผู้ทรงสร้างที่ได้ถูกประทานลงมานั้นขัดแย้งกับหลักความเชื่อดังกล่าว แต่ทว่าความแตกต่างของมันทั้งสองเกี่ยวกับการทำความภักดีในรูปแบบต่างๆกิริยาท่าทางของมัน-ประเภทสิ่งที่ต้องห้ามและอนุมัติทั้งหลาย -สาเหตุของมัน และนอกจากนั้นเป็นบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ที่ทรงได้กำหนดแก่บรรดาท่านศาสดาของพระองค์ โดยบัญชาใช้ให้พวกเขานำไปแจ้งแก่ชนชาติของท่าน.

    ดังนั้นศาสนาคริสต์จึงเป็นศาสนาแห่งสาสน์ของพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ที่ได้เรียกร้องสู่การทำความภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) องค์เดียว ปราศจากภาคีหุ้นส่วนใดๆสำหรับพระองค์ และพระองค์ไม่ทรงประสูติและไม่ถูกประสูติ และย้ำถึงศาสนทูตผู้สื่อและศาสดาที่พระองค์ทรงเลือกสรรพวกเขาจากบรรดามวลมนุษย์ชาติ เพื่อเผยแผร่สาสน์ของพระองค์ต่อมนุษย์ทั้งปวงเพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่มีข้ออ้างใดๆภายหลังท่านศาสนทูตผู้สื่อได้ถูกส่งมายังพวกเขา.

    คำถามสมมติในตัวของมันคือปัจจุบันนี้ศาสนาคริสต์ยังจะคงหลงเหลืออยู่ในรูปแบบที่พระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ)ได้ทรงประทานให้แก่บ่าวและศาสดาผู้สื่อของพระองค์อีซา อาลัยฮิสสาลาม (เยซูคริสต์) –ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-หรือไม่?

    คำตอบสำหรับคำถามนี้คือเราจำต้องนำเสนอชี้ชัดถึงข้อเท็จจริงของมันในปัจจุบันนี้และแสดง(เปรียบเทียบ) กับสิ่งที่เรานำมาอ้างอิงจากคัมภีร์โตรอฮฺและใบเบิลเกี่ยวกับท่านศาสดาโมเสสและท่านศาสดาเยซู – ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านทั้งสอง เพื่อดูว่าความเป็นมาและข้อเท็จจริงมันสอดคล้องกันหรือเปล่า? และตัวบทอ้างอิงเกี่ยวกับท่านศาสดาทั้งสองสนับสนุนหลักความเชื่อที่เป็นอยู่ของชีวิตชาวคริสต์หรือไม่อย่างไร? และสิ่งที่เรานำมายืนยันเกี่ยวกับชีวิตท่านศาสดามะซีฮฺ-เยซู –ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ในหนังสือเล่มนี้ตรงกับภาพพจน์ที่โบสถ์คริสต์ได้วาดไว้แก่บุคลิกภาพท่านศาสดาเยซูหรือไม่? ท่านจะเห็นว่าบุคลิกภาพตามประวัติที่กล่าวเล่ามานี้นั้น ยากต่อสติปัญญาและความคิดจะยอมรับได้เลย และจะเป็นจริงไปไม่ได้เลย หลักความเชื่อข้อแรกก็คือ

    ๑- ชาวคริสต์เชื่อศรัทธาว่า ท่านมาซีฮฺ – พระเยซูคริสต์ - เป็นบุตรของพระเจ้า.

    ไม่มีหลักฐานข้ออ้างใดๆจากคำกล่าวของท่านศาสดาเยซู-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ที่สนับสนุนความเชื่อดังกล่าว แต่ทว่าเราจะพบว่าทั้งในคัมภีร์โตรอฮฺและใบเบิลเต็มไปด้วยข้อโต้แย้งต่อหลักความเชื่อข้อนี้และขัดแย้งกันมากดังที่มีปรากฏในคัมภีร์ใบเบิล บทโยฮานา ๑๙ โองการที่ ๖-๘ ว่า เมื่อบาทหลวงผู้นำโบส์ถและผู้รับใช้เห็นเขา พวกเขากล่าวร้องออกมาว่า “ แขวนเขา แขวนเขา บีลาติสจึงได้กล่าวว่า พวกท่านเอาตัวเขาไปแขวน เพราะข้าไม่เห็นว่าเขาบกพร่องอะไรเลย ชาวยิวกล่าวตอบว่า เรามีสายลับซึ่งแจ้งให้เราทราบว่าเขาควรตาย เพราะเขาทำตนเป็นบุตรพระเจ้า (อัลลอฮฺ) ท่านมัดทายได้เขียนใบเบิลของเขาในบทที่หนึ่งโองการที่หนึ่ง ซึ่งกล่าวอ้างถึงพระเยซู –ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน- เขากล่าวว่า (หนังสือที่กล่าวถึงเรื่องราวการกำเนิดท่านโยชูวา มาซีฮฺบุตร ท่านเดวิด บุตรท่านอับรอฮัม) นี่เป็นสายสืบเครือญาติเผ่าตระกูล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นมนุษย์ และขัดแย้งกับข้ออ้างที่ว่าท่านทรงคุณลักษณะเป็นพระเจ้า เสมือนข้าได้กล่าวแก่ท่านว่า “เขาได้เรียกขานและให้คุณลักษณะท่านมาซิอาว่า เป็นบุตรพระเจ้า (อัลลอฮฺ) เหตุนี้เขาจึงถูกเรียกว่า บุตรของพระเจ้า ฉะนั้นข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านทราบว่า แท้จริงคุณลักษณะนี้ได้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ของท่านโดยใช้เรียกท่านศาสดาอื่นๆและแจ้งถึงคุณลักษณะของประชาชาติและเผ่าพันธ์ต่างๆ มันไม่ได้ถูกใช้เฉพาะสำหรับท่านมาซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน – เท่านั้น เราสามารถยืนยันได้เช่นว่า คูรูส บทที่๔ โองการที่ ๒๒บทเพลงสรรเสริญ บทที่ ๒ โองการที่ ๗ และประถมฤกษ์ บทที่ ๒๒ โองการที่ ๙-๑๐ มัดทายบทที่ ๕ โองการที่ ๙ลูกาบทที่ ๓ โองการที่ ๓๘ โยฮานาบทที่ ๑ โองการที่ ๑๒ โองการเหล่านี้ได้บอกถึงลักษณะพวกเขาว่าต่างเป็นบุตรของพระเจ้า แต่มิได้ถูกยกฐานะเช่นที่พวกท่านได้ยกฐานะให้แก่ท่านมะซีฮฺ –ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน.

    ปรากฏเช่นกันในคัมภีร์ใบเบิลโยฮานาบทที่๑ โองการที่๑๒ ซึ่งได้มีการอธิบายคำจำกัดความบอกถึงคุณลักษณะของ"พระบุตร"ว่ามันมีความหมายว่า “ผู้ที่ศรัทธาต่อพระเจ้า" โดยท่านได้กล่าวว่า (ส่วนบรรดาผู้ที่ได้พบเห็นเขา เขาได้มอบอำนาจหน้าที่ให้แก่พวกเขา เพื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นจะได้กลายเป็นบุตรของพระเจ้า คือศรัทธาต่อพระนามของพระองค์).

    ๒. ชาวคริสต์มีความเชื่อว่าท่านมาซีฮฺ-ขอความสันติจงมีแด่ท่าน-เป็นเจ้าคู่เคียงพระผู้เป็นเจ้าใช่แต่เฉพาะเท่านั้น เขายังเป็นที่สองของตรีเอกานุภาพที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย.

    เมื่อเราเปิดดูพื้นฐานในพันธสัญญาใหม่โดยละเอียด เราจะพบว่าไม่มีคำกล่าวใดๆของท่านมะซีฮฺที่พาดพิงและเรียกร้องสู่พื้นฐานความเชื่อดังกล่าวเลย ซึ่งเป็นเรื่องคาดไม่ถึงเลยว่าในระหว่างหน้าพับกระดาษของพันธสัญญาใหม่เหล่านี้นั้นจะมีตัวบทที่ปฏิเสธความเชื่อนี้ ซึ่งประกาศแจ้งอย่างชัดเจนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ ท่านมาซีฮฺเป็นบ่าว และศาสนทูตของพระองค์ พระองค์ทรงส่งเขาไปยังเผ่าพันธ์อิสราอีล เป็นผู้ยืนยันในคัมภีรเตารอฮฺและอินญีล เราขอนำเสนอตัวบทเหล่านี้ซึ่งสนับสนุนคำกล่าวของข้าพเจ้า

    ก. ท่านมาซีฮฺ -ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ได้กล่าวไว้ในใบเบิลบัรนาบาสบทที่๙๔ โองการที่๑ว่า “แท้จริงข้าเป็นพยานต่อหน้าชั้นฟ้า และข้าเป็นพยานต่อทุกสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่บนพื้นภิพบนี้ว่าข้าบริสุทธิ์ต่อสิ่งที่พวกเขา –มนุษย์- กล่าวอ้างให้แก่ข้าที่ว่าข้ายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์เพราะข้าเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาเป็นบุตรของหญิง ผู้ซึ่งจะต้องประสพกับกฎกำหนดของพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ข้ามีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับมนุษย์อื่นๆ (คือ)ต้องประสพกับความทุกข์ยากต่างๆ

    ข. ลูกาและกะลีโยบาสได้กล่าวยืนยันว่าท่านมาซีฮฺเป็นมนุษย์ธรรมดาโดยทั้งสองกล่าวว่า “ทุกวันนี้ไม่ทราบอะไรเกิดขึ้นกับเรื่องของท่านมาซีฮฺ –ผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ ผู้ทรงสัจจะในคำกล่าวและการกระทำจากพระผู้เป็นเจ้า" ลูกา บทที่๒๔ โองการที่๑๙ ดู ลูกาบทที่๗ โองการที่ ๑๙ อัครทูตบทที่ ๒ โองการที่ ๒๒

    ค. คำกล่าวของท่านมาซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน “ และนี่เป็นชีวิตที่ยั่งยืนพวกเขาจำต้องทราบว่าพระองค์ท่านคือพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงเพียงองค์เดียวและยาซูอฺเป็นผู้ที่พระองค์ทรงส่งเขามา" โยฮานา ๑๗ โองการที่ ๓

    ท่านเห็นแล้วว่าท่านมะซีฮฺ – ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ได้กล่าวสาบานยืนยันต่อหน้าชั้นฟ้าและสรรพสิ่งบนพื้นแผ่นดินในตัวบทแรกว่าท่านบริสุทธิ์จากทุกสิ่งที่พวกเขาบอกให้ลักษณะแก่ท่านและยกท่านเหนือฐานะของความเป็นมนุษย์ นั้นไม่ใช่เพราะอื่นใด? ก็เพราะว่าท่านเป็นมนุษย์.

    ในตัวบทที่สอง ผู้ช่วยท่านมาซิฮฺทั้งสองได้ยืนยันว่าท่านมาซีฮฺเป็นผู้ทรงสัตย์ ในคำกล่าวและการกระทำของท่านจากพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ)

    ในตัวบทที่สาม หมายถึงการประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนถึงความยิ่งใหญ่อันแท้จริงของสากลจักรวาลนี้ที่บันดาลความสุขอันยั่งยืนแก่เจ้าของมัน คือการยอมรับรู้ว่าพระเจ้า (อัลลอฮฺ) ทรงเป็นเจ้าที่แท้จริงและเจ้าย่อยอื่นจากพระองค์คือเจ้าจอมปลอม มดเท็จทั้งเพ และท่านยาซูอฺ มะซีฮฺเป็นรอซูลศาสดาผู้สื่อของพระองค์.

    ๓. ชาวคริสต์ศรัทธาเชื่อว่าพระเจ้าทรงแปลงร่างอยู่ในมนุษย์.

    เมื่อเรานำเอาคำสั่งสอนของท่านมะซีฮฺ – ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน – มาแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เราก็จะพบว่าท่านไม่เคยกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย ตรงกันข้ามท่านได้สั่งสอนเกี่ยวกับหลักความเชื่อแห่งเอกภาพอันบริสุทธิ์ ปราศจากความเปรอะเปื้อนของภาคีหุ้นส่วน (ชิรกฺ) ใดๆ ปรากฏชัดเจนจากหลักฐาน ดังคำกล่าวของท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน- ดังนี้ (จงฟังข้าดังนี้ ! ชนชาติอิสรออีลเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าของเราคือ พระเจ้าองค์เดียว) มัรกิซบทที่ ๑๒ โองการที่ ๒๙ หากเราเอาหลักฐานที่แสดงให้เห็นในวรรคที่สามมาผนวกเสริมกับหลักฐานนี้ด้วยแล้วท่านก็จะพบความจริงว่าหลักฐานอ้างอิงต่างๆที่ถูกนำมาจากพระคัมภีร์ใบเบิลอันบริสุทธิ์ของท่านนั้นจะให้การสนับสนุนต่อความเชื่อนี้หรือขัดแย้งและปฏิเสธมัน?

    ๔. ชาวคริสต์เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ประกอบขึ้นด้วยสามองค์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า

    หลักตรีเอกานุภาพ"

    ความเชื่อดังกล่าวข้างต้นได้ทำให้ศาสนาคริสต์ถูกแยกออกจากบรรดาศาสนาต่างๆที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานมา ถามว่าคัมภีร์ใบเบิลได้สนับสนุนในข้อนี้หรือโต้แย้ง? หากเราจะไตร่ตรองจากคำบอกเล่าเกี่ยวกับลักษณะท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ที่เรานำมาอ้าง เราก็จะพบว่าพื้นฐานแห่งสาสน์ของท่านได้เรียกร้องสู่การมีเอกภาพ ออกห่างจากการเปรียบเทียบกับสรรพสิ่งถูกสร้างของพระองค์ มิให้ฐานะความเป็นเจ้าแก่อื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และบรรลุสู่การภักดีต่ออัลลอฮฺองค์เดียว ท่านจงกลับไปพิจารณาถึงหลักฐานต่างๆที่ข้าพเจ้าได้นำมาแสดงให้ท่านเห็นในวรรคที่สองและที่สาม ในแง่หนึ่ง ท่านจะพบว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้นำมากล่าวถึงปราศจากการผสมผสานหรือคลุมเครือแต่อย่างใด อีกแง่หนึ่ง ชาวคริสต์ผู้บิดเบือนกล่าวอ้างว่าพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) มีสามองค์อย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือพระบิดาเป็นเจ้าแรก พระบุตรเป็นเจ้าสอง พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเจ้าสาม นี่เป็นเรื่องมดเท็จ เพราะพวกเขาเชื่อว่าพระวิญญาณได้ถูกแยกส่วนออกจากพระบิดาและพระบุตร ในลักษณะเดิมพระเจ้าสามองค์นี้ไม่สามารถที่จะเท่าเทียมกันได้ และองค์ที่สามได้แยกออกจากองค์ที่สองก่อนนี้ ในขณะที่ทุกองค์นั้นมีลักษณะเฉพาะ ไม่สามารถให้คุณลักษณะเช่นนี้แก่องค์อื่นได้ พระบิดาจะอยู่ในฐานะแรกเสมอ ต่อจากนั้นพระบุตร และพระวิญญาณอยู่ในระดับที่สาม พวกเขาไม่เห็นด้วยเลยที่จะเปลี่ยนการจัดระดับตรีเอกานุภาพนี้ใหม่ เช่นให้พระวิญญาณอยู่ในระดับแรก พระบุตรอยู่ในระดับที่สอง และพระบิดาอยู่ในระดับที่สามทว่าพวกเขาถือว่าการทำเช่นนั้นเป็นการปฏิเสธออกนอกศาสนา ฉะนั้นความเสมอภาคอยู่ที่ไหน !?

    อีกแง่หนึ่ง การให้คุณลักษณะเฉพาะพระวิญญาณเท่านั้นที่บริสุทธิ์ แสดงให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกัน.

    ๕.ชาวคริสต์มีความเชื่อว่าท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน- ถูกพวกยิวนำไปแขวนและสิ้นชีพบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นคำสั่งของ บีลาตีส อัล บันตี และคัมภีร์ใบเบิลได้ประกันต่อความมดเท็จของความเชื่อดังกล่าวนี้ ดังมีปรากฏในคัมภีร์ของท่านว่า ผู้ที่ถูกแขวนบนไม้กางเขนนั้นคือผู้ถูกสาปแช่ง มีปรากฏอยู่ในบทเพลงสรรเสริญบทที่ ๒๒ โองการที่ ๒๓ (เมื่อมนุษย์มีความผิดโทษทัณฑ์ของเขาคือความตาย ฉะนั้นต้องถูกฆ่าแขวนบนไม้ หากศพผู้นั้นไม่ยึดอยู่บนไม้ให้ฝังเขาในวันนั้น เพราะว่าคนถูกแขวนนั้นคือคนถูกสาปแช่งจากพระผู้เป็นเจ้า เพื่อไม่ให้แผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานแก่เจ้าได้เปรอะเปื้อน) ลองพิจารณาดูซิว่าพระเจ้าของพวกท่านถูกสาปแช่งได้อย่างไร?!! นี่เป็นตัวบทจากคัมภีร์ของพวกท่าน.

    เราพบในคัมภีร์ใบเบิลอีกที่ได้ระบุไว้ในลูกา บทที่ ๔ โองการที่ ๒๙ - ๓๐ ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงได้ปกป้องรักษาท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-จากแผนประทุษร้ายของพวกยิว. พวกเขาจึงไม่สามารถแขวนท่านบนไม้กางเขนได้ (พวกเขาเหล่านั้นได้นำเขา (คือมะซีฮฺ) ออกนอกเมือง จนกระทั่งนำเขามาถึงเขตแดนแห่งภูเขา ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งเมืองของพวกเขาแล้วพวกเขาก็ได้โยนเขาลงไปเบื้องล่าง ส่วนตัวเขาได้เดินผ่านท่ามกลางพวกเขาหายไป) ท่านโยฮานาได้กล่าวในบทที่ ๘ โองการที่ ๕๙ ว่า (พวกเขาได้หยิบก้อนหินขึ้นขว้างเขา ส่วนยาซูอฺได้หลบซ่อนตัวและได้ออกไปจากโครงร่าง ท่ามกลางพวกเขาพ้นไปเช่นนี้) ท่านโยฮานาได้กล่าวในบทที่ ๑๐ โองการที่ ๓๙ ว่า (พวกเขา -ทหารโรมันได้ขอร้องให้จับตัวเขา ดังนั้นเขาจึงรอดพ้นจากเงื้อมมือพวกเขา(

    ตัวบทพระคัมภีร์ดังกล่าว –นอกจากนี้ยังมีอีกมาก – ได้ระบุยืนยันว่าพระเจ้า (อัลลอฮฺ) ได้ทรงปกป้องท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน- จากแผนการร้ายและความเกียจชังของพวกยิวชั่ว ทว่ายังมีตัวบทที่ระบุยืนยันว่าพวกยิวไม่สามารถทราบถึงบุคลิคภาพของท่านมะซีฮฺจึงได้ว่าจ้างคนให้นำทางติดตามไล่ล่าหาตัวเขา ด้วยการให้ค่าจ้างตอบแทน (ดู มัดทายบทที่ ๒๗ โองการที่ ๓-๔(

    ๔.ท่านมะซีฮฺ –ขอความสันติสุขจงมีแก่ท่าน- ได้แจ้งให้ทราบว่าพวกฝูงชนได้เกิดมีความสงสัยต่อข่าวคราวของท่านในค่ำคืนที่เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้น ดังท่านได้กล่าวว่า (พวกท่านทุกคนจะสงสัยในค่ำคืนนี้) มัรกูศ บทที่ ๑๔ โองการที่ ๒๗

    ฉะนั้นอะไรคือจุดจบของท่านมะซีฮฺบนพื้นแผ่นดินนี้? พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยกท่านขึ้นสู่เบื้องบนยังพระองค์ นี่ก็เป็นหลักฐานจากพระคัมภีร์ใบเบิลของพวกท่าน (แท้จริงยาซูอฺ คนนี้แหละที่ได้ถูกยกขึ้นไปจากท่านสู่ชั้นฟ้า) กิจการอัครทูตบทที่ ๑ โองการที่ ๑๑ และในมัดทายบทที่ ๔ โองการที่ ๖ และลูกาบทที่ ๔ โองการที่ ๑๐-๑๑ กล่าวว่า (ได้ถูกกำหนดว่าพระองค์ท่านทรงได้สั่งใช้ให้บรรดามลาอิกะฮฺ –ทูตสวรรค์ อยู่กับเขา และด้วยมือของพวกเขาได้ยกเขา (มะซีฮฺ) ขึ้น.

    ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่าคัมภีร์ของพวกท่านได้นำข้อเท็จจริงดังนี้มาเสนออย่างไร?

    ๑) ผู้ที่ถูกแขวนตรึงบนไม้กางเขนคือผู้ถูกสาปแช่ง.

    ๒)พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ปกป้องรักษาท่านจากการถูกตรึงบนไม้กางเขน

    ๓)ท่านมะซีฮฺได้บอกว่าฝูงชนจะเกิดความสงสัยเกี่ยวกับตัวท่านในค่ำคืนนั้น

    ๔)พระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺตะอาลา) ได้ยกท่านยังพระองค์.

    ตอนนี้เรามาตั้งคำถามดูว่าอะไรคือสาเหตุและเงื่อนงำของไม้กางเขนที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ในเมื่อมันเป็นเหตุของภัยพิบัติที่มีต่อตัวท่านมะซีฮฺ –ขอความสันติสุขจงมีแก่ท่าน- ดังที่ท่านทั้งหลายเชื่อถือ? มันมิใช่เป็นการรำลึกถึงอาชญากรรมที่พวกยิวได้ก่อขึ้นหรือ? มันไม่ใช่สัญญานและหลักฐานอาชญากรรมหรือ? ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่าเหตุการณ์ร้ายแห่งไม้กางเขนเกี่ยวเนื่องกับท่านมะซีฮฺเช่นไร? และทำไมท่านถึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อความเชื่อนี้?

    หากท่านยังจะพึงพอใจอยู่กับความเชื่อนี้อีก ท่านจงตอบด้วยความสัตย์จริงต่อข้อซักถามเหล่านี้ซิว่า?

    ใครเป็นผู้บริหารกิจการแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดินในขณะที่พระเจ้าและผู้ทรงสร้างของมันถูกแขวนอยู่บนไม้กางเขน?

    ท่านจะจินตนาการอย่างไรถึงการมีอยู่ของสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายสามวันโดยปราศจากเจ้าผู้ทรงบริหารกิจการและทรงรักษาดูแลมันไว้อย่างมั่นคง?

    ใครคือผู้ทรงอำนาจจัดการจักรวาล ดวงดาวต่างๆที่มันโคจรตามที่พระองค์ทรงประสงค์

    ใครเป็นผู้ประทานเครื่องยังชีพแก่ชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย

    สภาพของการมีอยู่จะเป็นเช่นไร ต่อเมื่อพระผู้อภิบาลของมันอยู่ในหลุมศพ?

    ใครคือผู้ให้มันตาย และใครคือผู้ให้ชีวิต? พระองค์อัลลอฮฺทรงสูงส่งยิ่งกว่าที่พวกเขากล่าวอ้าง.

    ชาวคริสต์เชื่อว่าท่านมะซีฮฺได้ตายบนไม้กางเขนทั้งนี้เพื่อปกป้องและไถ่บาปมวลมนุษย์ชาติที่เป็นมรดกตกทอดกันมา.

    หลักความเชื่อเช่นนี้เป็นข้ออ้างที่ขัดแย้งกับหลักตรรกวิทยาและสติปัญญามนุษย์ ขัดแย้งต่อหลักพื้นฐานและตัวบทหลักของพระคัมภีร์ของพวกท่านดังนี้

    (๑) บิดาจะไม่ถูกลงโทษฆ่าแทนบุตร

    (๒) ทุกชีวิตจะต้องตายด้วยบาปกรรมของมัน

    (๓) ชีวิตที่ผิดพลาดจะต้องตาย

    (๔) พระผู้เป็นเจ้า ทรงยอมรับการขอลุหโทษของบรรดาผู้กลับตัว.

    สำหรับหลักฐานตัวบทพระคัมภีร์ที่ปรากฏตามหลักฐานดังกล่าวคือ

    (๑)บิดาจะต้องไม่ถูกฆ่าแทนบุตร และบุตรก็จะต้องไม่ถูกฆ่าแทนบิดา มนุษย์ทุกคนจะถูกนำไปฆ่าด้วยความผิดที่เขาได้ก่อกรรมขึ้น (บทเพลงสรรเสริญ บทที่ ๒๔ โองการที่ ๑๖(

    )๒) ในวันนั้นพวกเขาจะไม่กล่าวภายหลังจากที่บิดาของพวกเขาได้กินผลองุ่นว่าฟันของลูกๆของเขาเป็นภัยร้าย แต่ทว่าทุกชีวิตจะตายด้วยบาปกรรมของเขา มนุษย์ทุกคนที่กินผลองุ่นฟันของเขาเองเป็นภัย (บทเพลงร้องทุกข์อิระมะยาบทที่ ๓๑ โองการที่ ๒๙-๓๐

    )๓) และพวกเจ้ากล่าวว่าทำไมเล่าบุตรจึงไม่แบกภาระบาปกรรมของบิดา ส่วนบุตรได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้องและเที่ยงธรรม รักษาไว้ซึ่งกฎข้อบังคับ และได้กระทำมัน ชีวิตเขาก็จะยั่งยืน ชีวิตใดที่มีบาปก็จะตายจากไป บุตรจะไม่แบกภาระบาปกรรมของบิดา และบิดาก็จะไม่แบกภาระบาปกรรมของบุตร คุณธรรมก็จะได้แก่ผู้ทำความดีงาม ความชั่วช้าก็จะได้แก่ผู้ทำความชั่ว (ทำชั่วได้ชั่วทำดีได้ดี-ผู้แปล) หากคนชั่วกลับตัวจากบาปกรรมทั้งหลายที่ได้กระทำขึ้น และรักษาไว้ซึ่งกฎข้อบังคับ ได้ปฏิบัติตามความถูกต้องและเที่ยงธรรม ชีวิตเขาก็จะยั่งยืน ไม่ตาย การฝ่าฝืนของพวกเขาทุกอย่างที่ได้ก่อกรรมขึ้น จะไม่ถูกนำมากล่าวถึง ในความดีงามของเขา (ฮัซ กียาล บทที่ ๑๘ โองการที่ ๑๙-๒๒

    ๗ การรัปทานอาหารมื้อสุดท้าย

    เมื่อมัดทายและมัรกุตได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระกระยาหารค่ำขององค์เจ้า เขาทั้งสองไม่ได้ระบุในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นคำสั่งใช้ของท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ให้กิจการนี้เป็นการทำความภักดีทางศาสนาตลอดไปเมื่อกลับไปดูเรื่องนี้ในใบเบิลทั้งสอง ท่านจะพบในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้อ้างถึง.

    แต่ทว่าท่านปอลส์ประสงค์ที่จะยึดเอาการทำความภักดีนี้ตลอดไป ท่านจึงได้เพิ่มประโยคที่ต่อเนื่องขึ้นว่า"พวกเจ้าจะทำให้มันเป็นการรำลึกถึงข้า"ในเรื่องราวนั้น ซึ่งเป็นสาสน์ฉบั้บแรกที่มีไปถึงชาวโกรนิษูส บทที่ ๑๑ โองการที่ ๒๔

    นี่คือความเป็นมาและข้อเท็จจริงของศาสนาคริสต์ เป็นข้อเท็จจริงที่ข้าพเจ้าประจักษ์เห็น

    ซึ่งมิได้มีความผูกพันธิ์ใดๆ กับท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-นอกจากการอ้างชื่อโดยปราศจากพื้นฐานทางศาสนาและประวัติศาสตร์.

    แต่ทว่าคัมภีร์ใบเบิลของชาวคริสต์ได้นำเอาตัวบทที่อ้างถึงการสืบเชื้อสายถึงท่านมะซีฮฺ–ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ซึ่งขัดแย้งและปฏิเสธความเชื่อพื้นฐานและการสนับสนุนอันสำคัญยิ่งของศาสนาคริสต์

    มนุษย์ผู้มีสติปัญญาย่อมจะต้องหยิ่งในความมดเท็จและหนี้จากความโง่เง่า หวังว่าท่านจะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้มีสติปัญญาเหล่านั้นซึ่งได้ผละหนี้จากข้อเท็จจริงอันขมขื่นนี้และรับเอาความยากลำบาก การถูกเหยียดหยาม เพื่อค้นหาสัจธรรมความจริง-หลักฐานข้อเท็จจริง และความปรารถนาที่จะบรรลุสู่ความจริง

    ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่ล่วงเกินพระคัมภีร์ของพวกท่าน เพราะมันก็มีสิ่งที่แสดงให้เห็นเป็นสัจจะ และชี้นำท่านสู่ความถูกต้อง ท่านมิได้กล่าวในคำสวดของท่านหรอกหรือว่า “เพื่อความบริสุทธิ์ของชื่อท่าน ทูตสวรรค์ของท่านจะมา" (มัดทาย บทที่๖ โองการที่ ๙-๑๐ ) ตราบจนปัจจุบันหรือที่ท่านได้รอคอยแล้วกล่าวว่า “ทูตสวรรค์ของท่านจะมาปรากฏ" ทูตสวรรค์นี้ยังไม่มาหรือ? หากว่าเขาได้ถึงมาแล้วและได้บรรลุตามความประสงค์แล้ว ทำไมเล่าพวกท่านจึงได้ร้องขอด้วยถ้อยคำสวดมนต์เช่นนี้อีกต่อไป.

    แท้ที่จริงทูตสวรรค์นั้นได้กำเนิดขึ้นแล้วและบรรลุถึงด้วยการมาของศาสดาผู้สื่อผู้ซึ่งท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-เคยได้แจ้งข่าวดีไว้ได้เกิดขึ้นสมจริงแล้ว เขาจึงกล่าวว่า( บารกอลีต ผู้ซึ่งบิดาของข้าจะได้ทรงส่งเขามาในช่วงปลายศตวรรษ เขาจะสอนบอกแก่เจ้าทุกอย่าง) โยฮานา บทที่ ๑๔ โองการที่ ๒๖ และท่านกล่าวว่า (และเมื่อไรที่ บารกอลีต- ศัพท์ภาษากรีกแปลว่าผู้ได้รับการสรรเสริญ ตรงกับภาษาอาหรับว่าอะหมัดซึ่งเป็นชื่อหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัดศ้อลฯ

    -ผู้แปล. ผู้ซึ่งฉันจะส่งเขามายังท่านจากพระบิดาวิญญาณอันทรงธรรมจากผู้ซึ่งแยกออก เขาจะเป็นพยานให้แก่ฉัน) โยฮานา บทที่ ๑๕ โองการที่ ๒๖ และใครเล่าทีเป็นผู้ยืนยันแก่สาสน์ของท่านมะซีฮฺโดยทำให้มันบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกยิวได้เสริมแต่งขึ้นนอกเหนือจากท่านศาสดามุฮัมมัดศ้อลฯ?

    ท่านมะซีฮฺได้กล่าวด้วยว่า (แท้จริงฉันมีเรื่องมากมาย ที่จะบอกแจ้งแก่ท่าน แต่พวกท่านไม่สามารถที่จะคาดคะเนได้ในขณะนี้ ส่วนเมื่อไรที่เขาคนนั้นวิญญาณอันบริสุทธ์ได้มาถึง เขาจะชี้นำท่านสู่สัจธรรมความเป็นจริงทั้งหลาย เพราะเขาจะไม่พูดด้วยตัวเอง แต่ทว่าทุกสิ่งที่ได้ยินเขาพูด เขาจะบอกให้ท่านทราบถึงเรื่องราวเหล่านี้ คนนั้นยกย่องสรรเสริญข้า เพราะเขานำมาจากข้าและบอกให้ท่านรู้) โยฮานาบทที่ ๑๖ โองการที่ ๑๒ -๑๔ ฉะนั้นท่านศาสดามุฮัมมัดศ้อลคือผู้ที่ท่านมะซีฮฺได้กล่าวชี้ถึง เขาคือผู้ที่ชี้แนะมนุษย์สู่สัจธรรมความจริงทั้งหลาย เพราะเขาก็ไม่ได้พูดด้วยตัวเขาเอง เนื่องจากเขาจะไม่พูดออกมาด้วยอารมณ์ แท้ที่จริงมันไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า.

    ฉะนั้นมาซิมา ปฏิบัติตามบารกอลีตผู้ซึ่งท่านมะซิฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแก่ท่านได้กล่าวชี้แนะไว้กับท่าน และบารกอลีตคนนี้แหละที่ท่านศาสดามูซาอลัยฯ (โมเสส) เคยได้บอกแจ้งข่าวดีไว้ เมื่อท่านได้กล่าวในบทเพลงสรรเสริญบทที่ ๑๘ โองการที่ ๑๘ (ศาสดาได้ถูกแต่งตั้งสำหรับพวกเขาจากในหมู่พี่น้องพวกของเขา เช่นเดียวกับท่าน ข้าได้ทำให้คำพูดของข้าอยู่ในปากของเขา ฉะนั้นเขาพูดออกมาทุกสิ่งทีข้าสั่งเขา) พี่น้องของเผ่าชนอิสรออีลคือเผ่าชนอิสมาอีล และไม่มีศาสดาคนใดที่มาจากเผ่าชนอิสมาอีลนอกจากท่านศาสดามุฮัมมัดศ้อลฯ และท่านคือผู้ที่ท่านศาสดามูซา (โมเสส) ได้กล่าวถึงว่าเขาจะออกมาจาก เชิงเขา “ฟาราน" ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ใน บทเพลงสรรเสริญบทที่๓๓ โองการที่ ๒ (พระเจ้ามาจากไซนาอฺและด้านตะวันออกสุดของแสงรัศมีที่เป็นประกายจากภูเขาฟาราน. คำว่าฟารานก็คือเมืองมักกะฮฺ ชาวเมือง “ซาละอฺ"ได้ว่ายโคลงกลอนแสดงความปิติยินดีต่อการมาของเขา.ดังที่อัซอียาอฺกล่าวในบทที่๔๒ โองการที่ ๑๑ ว่า (ชาว ซาละอฺจะร้องเป็นทำนองจากยอดเขาเพื่อป่าวประกาศ) ซาละอฺคือภูเขาในนครมะดีนะฮฺสถานที่ซึ่งสาสน์แห่งท่านศาสดามุฮัมมัดศ้อลฯออกมาปรากฏและรูปปั้นได้ตกอยู่ใต้เท้าเขา ดูอัซอิยาอฺบทที่ ๔๒ โองการที่ ๑๗ สาสน์ของเขาจะแผ่ไปทั่วทุกสารทิศบนแผ่นดิน บรรดามนุษย์ชาติจะปิติยินดีต่อเขา และบรรดามวลมนุษย์ชาติผู้ประสานจิตใจนับพันได้เกิดการศรัทธา ฉะนั้นท่านจงเป็นหนึ่งในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น ได้รับชัยชนะของความสุขแห่งโลกนี้และปรโลก.

    จะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ปฏิบัติตามเขาอย่างไร? และเพื่อให้ท่านได้บรรลุถึงสิ่งที่บรรดาสาวกของเขาได้บรรลุ มันเป็นเรื่องง่ายหากท่านจริงจัง ท่านเพียงแต่ต้องชำระล้างและทำความสะอาดเพื่อให้ร่องรอยอันไม่สถาพรได้หลุดหล่นออกไปจากตัวเขา แล้วจึงปฏิญานตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมมัดเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์ รับรู้ปฏิบัติตามอย่างสอดคล้องกับความหมายของมัน นั่นคือ ศรัทธาเชื่อมั่นว่าไม่มีผู้ใดที่จะเป็นองค์ให้เคารพภักดีได้นอกจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺตะอาลาทรงเป็นเจ้าและผู้ทรงอภิบาลบริการกิจการอยู่อย่างเอกเทศ และมุฮัมมัดศ้อลฯเป็นศาสดาผู้สื่อของพระองค์ ฉะนั้นเราจำต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามในสิ่งที่ท่านสั่งใช้ เชื่อยืนยันในสิ่งที่ท่านนำมาบอกเล่า และออกห่างจากสิ่งที่ท่านได้ห้ามปราม และปฏิญานว่าท่านอีซา (เยซูคริตส์) คือบ่าวและศาสดาของพระองค์และเป็นคำดำรัสของพระองค์ที่ได้ทรงมอบแก่พระนางมัรยัม (มาเรีย)เป็นวิญญาณจากพระองค์ สวรรค์และนรกนั้นมีจริง พระองค์คือผู้ทรงให้ผู้ตายฟื้นคืนชีพจากหลุมศพ เมื่อท่านได้บรรลุถึงขั้นนี้ ท่านก็จะเป็นผู้หนึ่งที่จะได้รับสวนสวรรค์เป็นมรดก พร้อมกับบรรดาศาสดา ผู้ทรงสัตย์ ผู้เสียชีวิตในหนทางของอัลลอฮฺ และในหมู่กัลยาญชน.

    หากท่านประสงค์ที่จะได้แหล่งอ้างอิงซึ่งจะชี้นำท่านไปสู่ความจริงและทางที่เที่ยงตรง ข้าพเจ้าขอมอบรายชื่อหนังสือบางเล่มที่บาทหลวงชาวคริตส์ที่ได้รับทางนำจากอัลลอฮฺตะอาลาได้เขียนขึ้น พวกเขาได้เขียนในหนังสือดังกล่าวนี้ถึงการแก้เผ็ดของชาวคริตส์ที่มีต่อศาสนาอิสลาม และสาเหตุที่ทำให้พวกเขาละทิ้งศาสนาคริตส์ พร้อมทั้งหลักฐานอันชัดแจ้งซึ่งชี้ชัดว่าอิสลามคือศาสนาสุดท้ายที่ยั่งยืน หนังสือเหล่านี้คือ

    )( ศาสนาและอาณาจักร โดย อลีบิน ริบบิล อัฏอบะรี

    )๒) คำตักเตือนการศรัทธาและความอื้อฉาวตามแนวทางศริตส์ศาสนา โดยนัสรบินยะอฺยา อัลมุฏฏอบับ

    )๓) มุฮัมมัดในใบเบิลเผยแพร่ทั้งภาษาอังกฤษและอาหรับ โดยสำนักงานศาลชะรีอะห์ ประเทศกาตาร์

    )๔) ใบเบิลและไม้กางเขน ทั้งสองเล่ม โดย เดวิด เบนจามิน กัลดานี ซึ่งเข้ารับอิสลาม

    และเรียกชื่อใหม่ว่าอับดุลอะฮัด ดาวูด

    )๕) มุฮัมมัดในเตารอฮฺ ใบเบิลและ อัล กุรอาน

    )๖) การอภัยโทษทั้งสองระหว่างอิสลามและคริตส์ โดย อิบรอฮีม คอลีล อะหมัด ซึ่งเคยเป็นบาทหลวงคริตส์ ชื่อก่อนอิสลามของเขาคืออีรอฮีม ฟีลิบส์

    )๗) อัลลอฮฺ องค์เดียว หรือสามองค์

    )๘) มะซีฮฺมนุษย์หรือพระเจ้า ทั้งสองเล่ม โดยมัจดี มัรญาน

    )๙) ลับของอิสลาม โดย ฟูอาด อัล ฮาชิมี

    )๑๐) เสาโดมอันสว่างจ้าในความมืดสนิทของโลก โดย มุฮฺตะดี มุฮัมมัด ซะกียุดดีน

    นี่คือดวงดาวแห่งความศิริมงคลที่ได้เลือกสรรความจริงเหนือความเท็จ ทางนำเหนือความลุ่มหลง ท่านคิดว่าท่านมีความรู้มากกว่าพวกเขากระนั้นหรือ? แล้วทำไมไม่ถามตัวท่านเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องละทิ้งศาสนาของพวกเขา และประกาศการอพยพสู่ศาสนาอิสลาม? อะไรคือหลักฐานอันชัดแจ้งที่ทำให้พวกเขายืนหยัดเคียงข้างมัน และมันนำพวกเขาสู่ทางนำและแสงสว่าง.

    ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านทราบว่ามัน ใช่แต่เฉพาะกลุ่มหมู่คณะศิริมงคลนี้เท่านั้น ที่ได้ละทิ้งศาสนาของพวกเขา และประกาศเข้ารับอิสลาม แต่ทว่าพวกเขาคือผู้บนบานอุทิศที่จะดำเนินตามแบบฉบั้บของปราชญ์ปุโรหิตแห่งคริตส์ศาสนาที่ได้เข้ารับอิสลาม เขาจะกล่าวให้ท่านทราบถึงการขอแนะนำและการอุทิศพลี นอกจากเขาเหล่านี้ยังมีอีกมากเช่นกลุ่มกองคาราวานศรัทธาที่เราพบเห็นทุกวัน ไดมุ่งตรงสู่อิสลามป่าวประกาศว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมมัดเป็นศาสดาผู้สื่อของอัลลอฮฺ.

    สุดท้ายนี้คือ การวิงวอนของเรา ว่ามวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์แด่อัลลอฮฺองค์

    สารบัญ

    เรื่อง หน้า

    µ คำนำ ๕

    µ ความเป็นมาของศาสนาคริสต์ ๖

    µ พระเยซูคริสต์ เป็นบุตรของพระเจ้า ๙

    µ ท่านมาซีฮฺเป็นที่สองของตรีเอกานุภาพ ๑๑

    µ พระเจ้าทรงแปลงร่างอยู่ในมนุษย์. ๑๔

    µ หลักตรีเอกานุภาพ ๑๕

    µ ไม้กางเขน ๒๐

    µ ปกป้องและไถ่บาปมวลมนุษย์ชาติ ๒๑

    µ พระกระยาหารค่ำขององค์เจ้า ๒๓

    µ รายชื่อหนังสือบางเล่มที่บาทหลวงชาวคริตส์ที่ได้รับทางนำจากอัลลอฮฺตะอาลาได้เขียนขึ้น ๓๐

    µ สารบัญ ๓๓