×
อธิบายข้อสงสัยที่อาจจะมีการตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศที่มิใช่อิสลามจึงมีความเจริญมากกว่า ซึ่งมีนัยให้คิดตามมาว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว อิสลามเป็นศาสนาที่ถูกต้องจริงหรือเปล่า และอิสลามเป็นศาสนาของพระเจ้าจริงหรือไม่? บทความนี้ได้นำเสนอคำตอบต่อข้อสงสัยเหล่านี้ไว้แล้ว

    ทำไมประเทศของมุสลิม

    จึงล้าหลังจากชาติตะวันตก?

    لماذا تأخر المسلمون وتقدم غيرهم ؟

    < تايلاندية >

    อิบบรอเฮง อาลฮูเซน

    إبراهيم حسين

    —™

    ผู้ตรวจทาน: ซุฟอัม อุษมาน

    مراجعة: صافي عثمان

    ทำไมประเทศของมุสลิมจึงล้าหลังจากชาติตะวันตก?

    เมื่อมุสลิมพากันพูดว่า อิสลามเป็นศาสนาของผู้สร้างจักรวาล ผู้สร้างฟากฟ้าและแผ่นดิน ผู้สร้างสิ่งต่างๆ รวมถึงสร้างมนุษย์อย่างเรานี้ด้วย และอิสลามคือศาสนาที่ถูกต้องตามความประสงค์ของผู้สร้าง คำถามที่ชาวพุทธคนหนึ่งโพสต์คำถามในเฟสว่า เมื่ออิสลามเป็นศาสนาของพระเจ้า และเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามคำกล่าวอ้างของมุสลิมแล้ว ทำไมประเทศมุสลิมจึงเป็นประเทศที่ล้าหลังกว่าประเทศตะวันตก ทั้งๆที่ประเทศตะวันตกนั้นประชากรส่วนใหญ่นั้นเป็นคริสต์ มิได้นับถือศาสนาอิสลามแต่อย่างใด แต่ทำไมประเทศเขาจึงมีความเจริญมากกว่า ซึ่งมีนัยให้คิดตามมาว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว อิสลามเป็นศาสนาที่ถูกต้องจริงหรือเปล่า และอิสลามเป็นศาสนาของพระเจ้าจริงหรือไม่ หรือว่า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของพระเจ้าและเป็นศาสนาที่ถูกต้อง มิใช่อิสลาม

    คำถามทำนองนี้คือคำถามที่เกิดจากผู้ที่มีความข้องใจในอิสลาม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาถ้าเกิดจากศาสนิกอื่น แต่คำถามเช่นนี้อาจจะผุดขึ้นมาในสมองของมุสลิมบางคนที่ไม่ซึมซับและไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสัจธรรมแห่งอิสลาม เพราะฉะนั้นผู้เขียนจึงใคร่ตอบคำถามดังกล่าวนี้เพื่อให้เกิดความกระจ่างและความเข้าใจทั้งแก่มุสลิมเอง เพื่อให้เกิดความศรัทธาที่แน่วแน่ มั่งคง ไม่สั่นคลอนในการยึดมั่นในศาสนา และเพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อศาสนิกอื่นด้วย เพราะศาสนาอิสลามมิใช่เป็นศาสนาของมุสลิมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นศาสนาของทุกคน แต่เป็นเพราะว่า ณ ตอนนี้พวกเขายังไม่ยอมรับศาสนาของพวกเขาเอง พวกเขาก็เป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างจากพระเจ้าผู้สร้างด้วยเช่นกัน

    การตอบคำถามในประเด็นคำถามดังกล่าวนี้ผู้เขียนขอตอบในสองแง่ หนึ่งก็คือ ในแง่ของหลักการ สอง ในแง่ของความเป็นจริงหรือปรากฏการณ์จริงที่เกิดขึ้น ผู้เขียนจะขอตอบในประเด็นที่สองก่อน เพราะถ้าผู้อ่านได้รู้ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็จะเห็นภาพว่ามุสลิมอยู่ ณ จุดใดของความเจริญ และต่อมาว่าด้วยหลักการที่มีอยู่ในอัลกุรอานและหะดีษ ซึ่งเป็นหลักการที่วางโดยพระเจ้า เพื่อให้รู้ว่า พระเจ้าได้กำหนดมาเช่นไรและพระเจ้าต้องการอย่างไร และเมื่อมาวิเคราะห์กับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมา ก็จะเห็นภาพถึงความประสงค์ของพระเจ้า และสามารถเข้าใจว่า ทำไมมุสลิมจึงอยู่ในสภาวะเช่นนั้น และมีผลทำให้เข้าใจธรรมชาติของศาสนาของอัลลอฮฺ ตะอาลา อย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง

    สำหรับปรากฏการณ์จริง เพื่อให้เห็นภาพว่า มุสลิมหรือผู้ศรัทธาอยู่ ณ จุดใดของความเจริญ เราจะต้องฉายประวัติศาสตร์ความเป็นอยู่ของผู้ศรัทธาตั้งแต่อดีตไล่เรื่อยมาจนถึงยุคของนบีมุฮัมมัด ความเป็นอยู่ของมุสลิมในช่วงที่ชาวยุโรปกล่าวว่าเป็นยุคมืด จนถึงยุคปัจจุบัน ผู้อ่านทุกคนต้องเข้าใจว่าอิสลามมิได้เริ่มมาตั้งแต่ท่านนบีมูฮัมมัด แต่อิสลามเริ่มตั้งแต่นบีอาดัมอาลัยฮิสสะลาม ซึ่งเป็นนบีคนแรกที่ถูกส่งมายังมนุษยชาติ และ นบีที่ถูกส่งมาแก่มนุษยชาติทั้งหมดมีเป็นพันเป็นหมื่นคนนับตั้งแต่นบีคนแรกคือนบีอาดัม และจนถึงนบีคนสุดท้ายคือนบีมุฮัมมัด แต่นบีที่ถูกระบุชื่อไว้ในอัลกุรอานมีทั้งหมด 25 คนเท่านั้น เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความเป็นอยู่ของมุสลิมต้องฉายภาพความเป็นอยู่ของมุสลิมในยุคต่างๆ ที่มีความเป็นอยู่ที่หลากหลายเหล่านั้นให้เห็น

    ผู้เขียนจะขอเริ่มกล่าวถึงผู้ศรัทธาในสมัยนบีอิบรอฮีม ผู้ศรัทธาในสมัยนี้มีเพียงคนเดียวคือนบีอิบรอฮีม และต่อมาคือลูฎ ซึ่งต่อมาถูกแต่งตั้งให้เป็นนบี และผู้ที่ถูกเชิญชวนสู่การศรัทธามีศักดิ์เป็นถึงกษัตริย์ที่มีอำนาจเต็มบ้านเต็มเมือง และสุดท้ายนบีอิบรอฮีมต้องอพยพออกจากบ้านเมืองไปยังเมืองอื่น

    ในสมัยนบียูซูฟท่านได้เป็นถึงมุขมนตรีของประเทศอียิปต์ และพี่น้องของท่านก็สามารถเสวยสุขอยู่ในประเทศอียิปต์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนมีมีลูกเต็มบ้านเต็มเมือง แต่เมื่อถึงยุคฟาโรห์ปกครองอียิปต์ บรรดาชาวอิสรออีลที่เป็นลูกหลานของนบียูซูฟและพี่น้องของท่านที่อยู่ในสถานะของผู้ศรัทธาในขณะนั้นก็ต้องตกเป็นทาสของฟาโรห์เป็นสิบๆ ปี

    เมื่อมูซาสามารถนำพาชาวอิสรออีลออกจากอียิปต์ได้ และไปตั้งหลักแหล่ง ณ ดินแดนคะนาอันตามคำสั่งของพระเจ้า ซึ่งเป็นประเทศปาเลสไตน์ในปัจจุบัน ณ ที่นั้นชาวอิสรออีลในฐานะผู้ศรัทธาในขณะนั้นก็สามารถสร้างประเทศของตนเองขึ้น ซึ่งครอบคลุมอาณาเขตที่กว้างใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปชาวอิสรออีลเหล่านั้นถูกกวาดต้อนไปเป็นทาสของอาณาจักรอัสซีเรีย

    ต่อมาเมื่ออาณาจักรบาบิโลนขยายอำนาจและทำการสู้รบกับอัสซีเรีย ท้ายที่สุดอาณาจักรบาบิโลนก็ได้ทำลายอาณาจักรอัสซีเรียลงอย่างราบคาบ และชาวมุสลิมที่เป็นชาวอิสรออีลในขณะนั้นก็ถูกต้อนไปยังอาณาจักรบาบิโลน และเมื่ออาณาจักรเปอร์เซียสามารถทำลายอาณาจักรบาบิโลนลงได้ อาณาจักรเปอร์เซียก็ได้ปล่อยชาวอิสรออีลกลับดินแดนมาตุภูมิอีกครั้ง

    แต่เมื่อกรีกและต่อมาโรมันได้สร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมาก็ได้ต้อนชาวอิสรออีลไปยังอาณาจักรโรมัน และสุดท้ายศาสนาที่นำมาโดยชาวอิสรออีลก็ได้กลายเป็นศาสนาประจำชาติของชาวโรมันในที่สุด ซึ่งปัจจุบันเป็นรู้จักในนามศาสนาคริสต์ซึ่งในขณะนั้นก็คือศาสนาอิสลามนั่นเอง

    เมื่อถึงยุคของนบีมุฮัมมัด ในช่วงแรกๆ ศาสนาอิสลามแค่เป็นกลุ่มเล็กๆ ที่อยู่ในแคว้นหิญาซ นั่นก็คือมักกะฮฺและมะดีนะฮฺ ในขณะเดียวกันก็มีสองมหาอำนาจที่แผ่การปกครองในแผ่นดินต่างๆ อยู่ในขณะนั้น นั่นก็คือ อาณาจักรเปอร์เซียและอาณาจักรโรมัน และท้ายที่สุดชาวมุสลิมก็สามารถทำลายอาณาจักรเปอร์เซียลงได้อย่างราบคาบและต่อมาก็สามารถสยบอำนาจโรมันได้อีกเช่นกัน เหลือแต่โรมันตะวันตกเท่านั้น

    ในช่วงที่ชาวตะวันตกเรียกกันว่าเป็นยุคมืดนั้น ในฝั่งของอาณาจักรอิสลามภายใต้การนำของราชวงศ์อุมาวีย์, อับบาซีย์ และท้ายสุดคือราชวงค์อุสมานีย์หรืออาณาจักรอ็อตโตมาน มุสลิมมีความเจริญในทุกด้าน มุสลิมได้พัฒนาระบบการศึกษา มีความมั่งคั่งทางการเงิน จนชาวยุโรปในสมัยนั้นต้องเดินทางมาเก็บเกี่ยวเรียนรู้ศิลปะวิชาการในแขนงต่างๆ ในโลกอิสลาม ความเจริญดังกล่าวนี้ดำเนินมาเป็นกว่าหนึ่งพันปี

    จนเมื่อชาวยุโรปได้พัฒนาทางเทคโนโลยีและสุดท้ายสามารถสยบอำนาจของมุสลิมลงได้ในที่สุด และได้แบ่งอาณาจักรหนึ่งเดียวของมุสลิมออกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย ความเจริญที่มีอยู่ในประเทศอิสลามถูกทำลายลงและได้ทำการปกปิดร่องรอยต่างๆ ที่แสดงถึงความเจริญที่มีอยู่ในอาณาจักรอิสลามทั้งหมด ทั้งๆ ที่หลายเรื่องมุสลิมเป็นผู้บุกเบิกด้วยซ้ำไป

    เมื่ออาณาจักรอิสลามถูกทำลายลง การพัฒนาก็หยุดลง เหลือแต่ความล้าหลังเข้ามาแทนที่ ล้าหลังทั้งในด้านการพัฒนาในวิทยาการต่างๆ และล้าหลังทั้งในเรื่องของศาสนา มุสลิมทะเลาะด้วยกันเอง จนในปัจจุบันเรียกได้ว่ามุสลิมอยู่ในยุคที่ตกต่ำที่สุดในยุคหนึ่ง แต่ความเจริญจะกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอนตามคำกล่าวของท่านนบี เพียงแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง

    จากที่กล่าวมาทั้งหมด เราสามารถเห็นภาพความเป็นอยู่ของมุสลิมหรือผู้ศรัทธาได้อย่างดี ในบางเวลามุสลิมก็เป็นคนธรรมดาที่ต้องเผชิญหน้ากับมหาอำนาจ บางเวลามุสลิมต้องตกอยู่ในฐานะเป็นทาสมาเป็นเวลาร้อยๆ ปี บางเวลามุสลิมมีอำนาจของการปกครอง บางเวลามุสลิมมีความเจริญมากกว่ากลุ่มใดๆ ในโลก และบางเวลามุสลิมก็ตกต่ำถึงขีดสุด มุสลิมมิได้อยู่ในฐานะที่ต่ำต้อยและล้าหลังตลอด แต่สภาพการณ์ของมุสลิมมีหลากหลาย ทั้งหมดเหล่านี้ก็เพื่อทดสอบมุสลิมเองในความศรัทธาที่มีต่อผู้สร้างและในฐานะเป็นผู้ที่ต้องนำ สาส์นของพระเจ้าไปสู่มนุษยชาติ

    ทั้งหมดที่กล่าวมาคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับมุสลิมในยุคต่างๆ ต่อไปเรามาดูว่า พระเจ้าได้สอนอะไรแก่มุสลิมเกี่ยวกับสภาพการณ์เหล่านั้น

    หนึ่ง การอยู่ในสภาพการณ์ใดๆ ก็ตาม นั่นคือบททดสอบจากพระเจ้า อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้กล่าวว่า

    ﴿ كُلُّ نَفۡسٖ ذَآئِقَةُ ٱلۡمَوۡتِۗ وَنَبۡلُوكُم بِٱلشَّرِّ وَٱلۡخَيۡرِ فِتۡنَةٗۖ وَإِلَيۡنَا تُرۡجَعُونَ ٣٥ ﴾ [الأنبياء: ٣٥]

    ความว่าทุกชีวิตจะต้องลิ้มรสความตาย และเรา(อัลลอฮฺ ตะอาลา)จะทดสอบพวกเจ้าด้วยสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ และแน่นอนพวกเจ้าทั้งหลายจะต้องกลับไปหาเรา" (อัลอันบิยาอ์ : 35)

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราประสบมาและที่เราจะต้องประสบ เราทุกคนจะต้องเข้าใจว่า นั่นคือบททดสอบจากพระเจ้า บททดสอบดังกล่าวนี้ คือหลักการพื้นฐานที่เราจะต้องรู้

    สอง ความจนความรวย การมีอำนาจ ความเจริญ หรือความล้าหลังไม่ใช่มาตรวัดของความสำเร็จในโลกนี้ ความสำเร็จที่แท้จริงคือการน้อมนำพระดำรัสของพระองค์ไปปฏิบัติให้เกิดผลทั้งในทางปฏิบัติและการศรัทธาให้ดีที่สุด อัลลอฮฺ ตะอาลา กล่าวว่า

    ﴿ ٱلَّذِي خَلَقَ ٱلۡمَوۡتَ وَٱلۡحَيَوٰةَ لِيَبۡلُوَكُمۡ أَيُّكُمۡ أَحۡسَنُ عَمَلٗاۚ وَهُوَ ٱلۡعَزِيزُ ٱلۡغَفُورُ ٢ ﴾ [الملك: ٢]

    ความว่า “(อัลลอฮฺ ตะอาลา )เป็นผู้ที่สร้างความตายและการมีชีวิต (ด้วยเหตุผล)เพื่อเป็นบททดสอบแก่พวกเจ้า(โอ้มนุษย์ทั้งหลาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะรู้ว่า)ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ามีการประกอบการงานที่ดีกว่า และพระองค์คือผู้ที่มีเกียรติ์อันสูงส่งยิ่งและผู้ที่ให้อภัยเสมอ" (อัลมุลก : 2)

    นี่คือหลักการหนึ่งที่พระองค์ทรงได้กำหนดให้มนุษย์และผู้ศรัทธาอยู่ในสภาพต่างๆ ก็เพื่อทดสอบพวกเขา ผู้ที่ยืนหยัดปฏิบัติตามในคำสั่งของพระองค์คนนั้นก็จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จโดยเฉพาะในโลกหน้า เพราะฉะนั้นชีวิตความเป็นอยู่จะเป็นเช่นไรไม่สำคัญ แม้จะเป็นคนยาจกอดอยาก หรือจะร่ำรวยล้นฟ้า แม้จะล้าหลังไม่ทันโลก หรือจะก้าวกระโดดนำโลกสมัยใหม่ก็ตามที และพระองค์จะมองดูว่าผู้ใดยืนหยัดในการทำงานเพื่อพระองค์ ตามที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้กล่าวว่า

    ﴿ إِنَّ ٱلَّذِينَ قَالُواْ رَبُّنَا ٱللَّهُ ثُمَّ ٱسۡتَقَٰمُواْ تَتَنَزَّلُ عَلَيۡهِمُ ٱلۡمَلَٰٓئِكَةُ أَلَّا تَخَافُواْ وَلَا تَحۡزَنُواْ وَأَبۡشِرُواْ بِٱلۡجَنَّةِ ٱلَّتِي كُنتُمۡ تُوعَدُونَ ٣٠ ﴾ [فصلت: ٣٠]

    ความว่าแท้จริงแล้วบรรดาผู้ที่กล่าวว่า พระเจ้าของเราคืออัลลอฮฺ และหลังจากนั้นพวกเขายืนหยัด แน่นอนบรรดามลาอิกะฮฺจะลงมาหาพวกเขา(โดยกล่าวกับพวกเขาว่า)พวกท่านอย่าได้หวาดกลัวและอย่าเศร้าเสียใจ แต่จงรับข่าวดี นั่นคือสวนสวรรค์ซึ่งพวกเจ้าได้ถูกสัญญาไว้" (ฟุศศิลัต : 30)

    สาม ผู้ปฏิเสธศรัทธามีสภาพชีวิตที่ดีกว่าทางด้านวัตถุ มีความมั่งคั่ง มีอำนาจ และผู้ศรัทธามีความยาก ลำบาก เกิดขึ้นได้เสมอ นั่นก็เพื่อเป็นการทดสอบต่อทั้งผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธศรัทธา อัลลอฮฺ ตะอาลา กล่าวว่า

    ﴿ لَا يَغُرَّنَّكَ تَقَلُّبُ ٱلَّذِينَ كَفَرُواْ فِي ٱلۡبِلَٰدِ ١٩٦ ﴾ [آل عمران: ١٩٦]

    ความว่าโอ้ มุฮัมมัด เจ้าอย่าได้ให้จิตใจของเจ้าหลงตาม(ความมีชีวิตที่ดีกว่า)ของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในแผ่นดิน" (อาล อิมรอน : 196)

    จากอายะฮฺนี้เราสามารถรับรู้ได้ว่า เมื่อยามที่มุสลิมมีคุณภาพชีวิตที่ด้อยกว่าผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา มุสลิมจะต้องยืนหยัดไม่หลงตามวัตถุนิยมที่ครอบครองโดยผู้ที่ไม่ศรัทธา จนทำให้มุสลิมไขว้เขวออกนอกลู่นอกทาง ไม่อยู่ในหลักการ จนทำให้ความเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้าเปลี่ยนไป และอายะฮฺดังกล่าวยังสื่ออีกด้วยว่า ภาวะที่มุสลิมมีสภาพชีวิตทางวัตถุที่ด้อยกว่า และตรงกันข้ามผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นมีสภาพที่ดีกว่าเกิดได้เสมอ อย่างเช่นที่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบัน

    สี่ การผลัดกันแพ้ชนะระหว่างฝ่ายผู้ปฏิเสธศรัทธาและฝ่ายผู้ศรัทธานั้นจะเกิดขึ้นตลอดผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้กล่าวว่า

    ﴿ إِن يَمۡسَسۡكُمۡ قَرۡحٞ فَقَدۡ مَسَّ ٱلۡقَوۡمَ قَرۡحٞ مِّثۡلُهُۥۚ وَتِلۡكَ ٱلۡأَيَّامُ نُدَاوِلُهَا بَيۡنَ ٱلنَّاسِ وَلِيَعۡلَمَ ٱللَّهُ ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ وَيَتَّخِذَ مِنكُمۡ شُهَدَآءَۗ وَٱللَّهُ لَا يُحِبُّ ٱلظَّٰلِمِينَ ١٤٠ ﴾ [آل عمران: ١٤٠]

    ความว่าหากประสบแก่พวกเจ้า ซึ่งบาดแผลหนึ่งบาดแผลใด แน่นอนพวกเขาก็เคยประสบกับบาดแผลนี้เช่นเดียวกัน และบรรดาวันเวลาเหล่านั้นเราได้ให้มันหมุนเวียนไประหว่างมนุษย์ และเพื่ออัลลอฮฺจะได้รับรู้(ว่าใครเป็น)บรรดาผู้ที่ศรัทธา และเพื่อจะได้รับเอาบรรดาผู้ตายชะฮีดในหนทางของอัลอฮฺจากพวกเจ้า และอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงรักผู้อธรรมทั้งหลาย" (อาล อิมรอน : 140)

    ห้า จะถึงยุคสมัยหนึ่งที่มุสลิมจะถูกรุมกินโต๊ะ ซึ่งเป็นสมัยที่มุสลิมจะมีความตกต่ำมากที่สุด มุสลิมจะเป็นฝ่ายที่ถูกอธรรม ถูกทารุณกรรม ถูกฆ่าตาย และชีวิตมุสลิมจะไม่มีราคาในสายตาของคนทั่วไป หลักฐานที่กล่าวถึงตรงนี้มีมากมายหลายหะดีษ เรามาลองดูหะดีษที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้ ท่านนบีกล่าวว่า

    «يُوشِكُ أَنْ تَدَاعَى عَلَيْكُمُ الأُمَمُ مِنْ كُلِّ أُفُقٍ، كَمَا تَتَدَاعَى الأَكَلَةُ عَلَى قَصْعَتِهَا ، قُلْنَا : مِنْ قِلَّةٍ بِنَا يَوْمَئِذٍ؟ قَالَ : لا ، أَنْتُم يَوْمَئِذٍ كَثِيرٌ ، وَلَكِنَّكُمْ غُثَاءٌ كَغُثَاءِ السَّيْلِ ، يَنْزَعُ اللَّهُ الْمَهَابَةَ مِنْ قُلُوبِ عَدُوِّكُمْ وَيَجْعَلُ فِي قُلُوبِكُمُ الْوَهَنَ ، قِيلَ : وَمَا الْوَهَنُ ؟ قَالَ : حُبُّ الْحَيَاةِ وَكَرَاهِيَةُ الْمَوْتِ» أخرجه أبو داود في سننه 2/10 2.

    ความว่า : ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่าพวกเจ้าจะถูกรุมกินโต๊ะจากทุกทิศทุกทาง ดั่งเช่น คนรุมกินอาหารในสำรับอาหาร เรากล่าว(ถาม)ว่า : เรามีจำนวนไม่มากใช่ไหมในวันดังกล่าวนั้น? ท่านกล่าว(ตอบ)ว่า : ไม่เลย พวกท่านในวันนั้นมีจำนวนมาก แต่(คุณภาพของ)พวกท่านดั่งเช่นฟองน้ำ อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ถอดความน่าเกรงขามในจิตใจศัตรูของพวกเจ้า และได้ทำให้จิตใจของพวกท่านมีวะฮัน มีคนถามท่านรอซูลว่า : วะฮันคืออะไร? ท่านนบีตอบว่า : รักหลงในโลกดุนยาและรังเกียจความตาย"(อบู ดาวูด ในหนังสือสุนันของท่าน เล่ม 2 หน้า 210)

    ณ ปัจจุบันนี้ มุสลิมอยู่ในฐานะผู้ที่ถูกกระทำเกือบส่วนใหญ่ในหลายประเทศ นั่นก็แสดงมุสลิมว่า มุสลิมอยู่ในภาวะที่ตกต่ำ

    และในหะดีษอีกบทหนึ่ง ท่านนบีกล่าวว่า

    «لَتَتَّبِعُنَّ سُنَنَ الَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ شِبْرًا بِشِبْرٍ ، وَذِرَاعًا بِذِرَاعٍ حَتَّى لَوْ سَلَكُوا جُحْرَ ضَبٍّ لَسَلَكْتُمُوهُ» ، قُلْنَا : يَا رَسُولَ اللَّهِ الْيَهُودُ وَالنَّصَارَى ؟ قَالَ : «فَمَنْ ؟» أخرجه البخاري.

    ความว่าแน่นอนจะมีการเจริญรอยตาม(การดำเนินชีวิต)ของผู้ที่มาก่อนหน้าเจ้า คืบต่อคืบ ศอกต่อศอก แม้จนกระทั่งว่าพวกเขาจะมุดเข้ารูแย้ แน่นอนพวกเจ้าก็จะตามพวกเขา" เรากล่าวถามท่านนบีว่า โอ้ ท่านรอซูลลุลลอฮฺ (พวกเขาเหล่านั้น คือ) ชาวยิวและชาวคริสต์ใช่หรือไม่? ท่านรอซูลตอบว่าแล้วใครอีกเล่า (ถ้ามิใช่พวกเขา)" (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์)

    จากหะดีษทั้งสองนี้แสดงว่า ได้บ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ ณ ปัจจุบันนี้เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้วและกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ตามทฤษฎีของอิบนุ คอลดูล กล่าวว่า ผู้แพ้จะตามผู้ชนะเสมอ นั่นก็คือ ณ ตอนนี้มุสลิมกำลังเจริญรอยตามการใช้ชีวิตของชาวตะวันตกซึ่งเป็นชาวคริสต์และมีชาวยิวเป็นผู้กำกับอยู่เบื้องหลัง นั่นก็แสดงว่า มุสลิมอยู่ในฐานะผู้แพ้

    สี่ห้าประการเหล่านี้คือหลักการและกฎสภาวะที่กำหนดมาโดยพระเจ้าเพื่อเป็นการทดสอบทั้งในผู้ศรัทธาในพระองค์และเป็นการทดสอบสำหรับผู้ที่ยังไม่ศรัทธาด้วย และยังมีอีกหลายหลักการที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ของความเป็นอยู่ของผู้คน ทั้งปัจเจกบุคคล สังคม และประเทศชาติโดยรวม แต่ผู้เขียนได้นำมาสี่ห้าประการเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะให้เห็นภาพกำหนดการณ์บางอย่างที่กำหนดมาโดยพระเจ้า ซึ่งเราสามารถรับรู้ได้ว่าทำไมมุสลิมในปัจจุบันจึงล้าหลังกว่าชาติตะวันตก

    คำตอบสั้นๆ อีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับคำถามข้างต้น นั่นก็คือ

    หนึ่ง มุสลิมมิได้ล้าหลังตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แต่มุสลิมก็เคยครองความเจริญมาแล้วในประวัติศาสตร์เป็นเวลาพันกว่าปี

    สอง ความเจริญหรือความล้าหลังนั้นมิได้บ่งบอกว่าศาสนาอิสลามไม่ถูกต้อง แต่อิสลามเป็นศาสนาของพระเจ้าที่จะมาทดสอบมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ตั้งแต่มนุษย์คนแรกจนถึงมนุษย์คนสุดท้ายด้วยศาสนาของพระองค์คืออิสลาม ว่าเขาเหล่านั้นจะศรัทธาหรือจะปฏิเสธกับศาสนาของพระองค์

    จากบทความสั้นๆ นี้ ผู้เขียนคิดว่า น่าจะให้ผู้อ่านทุกคนเข้าใจเหตุการณ์และสถานการณ์ความเป็นอยู่ของผู้คน โดยเฉพาะมุสลิม และผู้อ่านเข้าใจว่า ทำไมมุสลิมจึงล้าหลังและทำไมชาวตะวันตกจึงมีความเจริญในทางโลกมากกว่ากัน วัลลอฮุอะอฺลัม.