×
หนึ่งในจำนวนเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญหลังจากที่ได้ปฏิบัติอะมัลไปแล้วก็คือ ประเด็นการตอบรับอะมัล ว่ามันถูกรับหรือไม่ ? เพราะการได้รับเตาฟีกให้ปฏิบัติอะมัลศอลิหฺนั้นถือว่าเป็นนิอฺมัตที่ยิ่งใหญ่ แต่ว่ามันจะไม่สมบูรณ์จนกว่าจะได้รับอีกนิอฺมัตหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นคือนิอฺมัตการตอบรับจากอัลลอฮฺ

    อะไรที่ต้องทำหลังจากหัจญ์ ?

    ﴿ماذا بعد الحج؟﴾

    موقع صيد الفوائد

    ترجمة: صافي عثمان

    แปลโดย : ซุฟอัม อุษมาน


    ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

    อะไรที่ต้องทำหลังจากหัจญ์ ?

    หนึ่งในจำนวนเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญหลังจากที่ได้ปฏิบัติอะมัลไปแล้วก็คือ ประเด็นการตอบรับอะมัล ว่ามันถูกรับหรือไม่ ? เพราะการได้รับเตาฟีกให้ปฏิบัติอะมัลศอลิหฺนั้นถือว่าเป็นนิอฺมัตที่ยิ่งใหญ่ แต่ว่ามันจะไม่สมบูรณ์จนกว่าจะได้รับอีกนิอฺมัตหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นคือนิอฺมัตการตอบรับจากอัลลอฮฺ

    สิ่งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะหลังจากที่เสร็จสิ้นจากภารกิจหัจญ์ ที่บ่าวคนหนึ่งได้ทุ่มเทเหนื่อยยากฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มากมาย แต่หากมันกลับไม่ถูกรับแล้วละก็ ยังจะมีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกเล่า ? ย่อมเป็นเรื่องที่เสียหายมากแค่ไหนถ้าหากอะมัลที่คนผู้หนึ่งได้ทำไปกลับถูกปฏิเสธ เขาต้องพบกับความเสียหายที่ชัดเจนเป็นแน่แท้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

    เมื่อได้รู้แล้วว่ามีงานมากมายที่ถูกปฏิเสธและไม่ถูกรับจากผู้ปฏิบัติ เนื่องด้วยสาเหตุต่างๆ มากมาย ย่อมเป็นสิ่งที่สมควรต้องรู้เช่นเดียวกันว่า มีสาเหตุอะไรบ้างที่เป็นปัจจัยให้อะมัลนั้นถูกตอบรับ ถ้าหากบ่าวพบว่ามันมีอยู่ในตัวเขา ก็จงสรรเสริญอัลลอฮฺ และจงยืนหยัดทำต่อไปบนแนวทางนั้น และหากไม่พบว่ามีอยู่ในตัวเขา ก็จงให้ความสำคัญเสียตั้งแต่บัดนี้ ด้วยการทำอะมัลด้วยความทุ่มเทและบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ

    ในจำนวนมูลเหตุที่จะทำให้อะมัลศอลิหฺนั้นถูกตอบรับก็คือ

    1. การมองว่าอะมัลที่ได้ปฏิบัติไปนั้นเป็นเพียงความพยายามเพียงเล็กน้อย และไม่มีอาการโอ้อวดหรือลำพองตนกับสิ่งที่ได้ปฏิบัติไป เพราะแท้จริงแล้ว มนุษย์นั้นถึงแม้ว่าเขาได้ทำอะไรไปมากมายแค่ไหนก็ตาม ก็ยังไม่นับว่าได้ทำหน้าที่ขอบคุณต่อนิอฺมัตของอัลลอฮฺแม้เพียงนิอฺมัตเดียวที่ปรากฏอยู่บนร่างกายของเขาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหู ตา ลิ้น หรืออื่นๆ และยังไม่นับว่าได้ทำหน้าที่ทดแทนสิทธิของอัลลอฮฺจนครบแล้ว เพราะสิทธิของอัลลอฮฺนั้นมีเหลือคณานับ เหนือตัวเขา ดังนั้น หนึ่งในคุณลักษณะของผู้ที่บริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺก็คือ เขาต้องมองว่าอะมัลที่ได้ปฏิบัติไปเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น และไม่ถือว่ามันมีค่ามากมายเท่าใดเลย เพื่อไม่ให้เกิดการโอ้อวดกับสิ่งที่ตนได้ทำไปและไม่มีอาการลำพองตนที่อาจจะทำลายผลบุญของเขา และไม่เป็นสาเหตุให้เกิดความรู้สึกเกียจคร้านที่จะทำความดีต่อไป

    สิ่งที่จะช่วยให้เกิดความรู้สึกดังกล่าวก็คือ การรู้จักอัลลอฮฺและได้ประจักษ์ถึงนิอฺมัตต่างๆ อันมากมายของพระองค์ รวมถึงการนึกถึงบาปและความบกพร่องของตนเอง

    ลองเราพิจารณาดูสิว่า อัลลอฮฺได้สั่งเสียนบีของพระองค์ไว้อย่างไร หลังจากที่ทรงสั่งใช้ให้ท่านทำในเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก พระองค์ตรัสว่า

    ﴿يَا أَيُّهَا الْمُدَّثِّرُ ( 1 ) قُمْ فَأَنذِرْ ( 2 ) وَرَبَّكَ فَكَبِّرْ ( 3 ) وَثِيَابَكَ فَطَهِّرْ (4) وَالرُّجْزَ فَاهْجُرْ ( 5 ) وَلَا تَمْنُن تَسْتَكْثِرُ ( 6 )(المدثر)

    ความว่า “โอ้ ผู้ที่ห่มกายเอ๋ย จงลุกขึ้นแล้วเตือนข่าวร้ายเถิด จงกล่าวตักบีรสรรเสริญต่อพระผู้อภิบาลของเจ้า จงทำความสะอาดเสื้อผ้าของเจ้า จงหลีกห่างจากความสกปรกโสมม จงอย่าอวดอ้างว่าได้ทำงานอย่างมากมายแล้ว" (อัล-มุดดัษษิรฺ 1-6)

    2. การกลัวว่าอะมัลที่ทำไปจะถูกปฏิเสธและไม่ถูกตอบรับ แท้จริงแล้ว บรรดาสะลัฟศอลิหฺนั้นต่างได้ให้ความสำคัญกับการตอบรับอะมัลมากเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งพวกเขาถึงกับอยู่ในสภาพแห่งความหวาดกลัวและหวั่นเกรง อัลลอฮฺได้ตรัสถึงสภาพของพวกเขาว่า

    ﴿وَالَّذِينَ يُؤْتُونَ مَا آتَوا وَّقُلُوبُهُمْ وَجِلَةٌ أَنَّهُمْ إِلَى رَبِّهِمْ رَاجِعُونَ﴾ (المؤمنون : 60 )

    ความว่า “และบรรดาผู้ที่บริจาคสิ่งที่พวกเขาได้ให้ออกไป โดยที่จิตใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวั่นเกรงว่าแท้จริงพวกเขาต้องกลับไปหาพระเจ้าของพวกเขา" (อัล-มุอ์มินูน 60)

    ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้อธิบายอายะฮฺนี้ว่า พวกเขาเป็นผู้ที่ถือศีลอด ละหมาด บริจาค และกลัวว่าการงานเหล่านั้นจะไม่ถูกตอบรับจากพวกเขา และได้มีรายงานจากท่านอะลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงให้ความสำคัญกับการตอบรับอะมัล มากกว่าที่พวกท่านให้ความสำคัญต่อตัวของอะมัลนั้นเสียเอง พวกท่านไม่ได้ฟังที่อัลลอฮฺตรัสไว้หรือว่า

    ﴿إِنَّمَا يَتَقَبَّلُ اللهُ مِنَ الْمُتَّقِينَ﴾ (المائدة : 27 )

    ความว่า “แท้จริงแล้ว อัลลอฮฺจะทรงรับจากบรรดาผู้ที่ยำเกรง" (อัล-มาอิดะฮฺ 27)

    3. การมีความหวังและขอดุอาอ์ให้มาก แท้จริง การหวั่นเกรงรต่ออัลลอฮฺนั้นไม่เพียงพอ ทว่าต้องมีคู่ตรงข้ามของมันนั่นคือการหวังต่อพระองค์ เพราะการหวาดกลัวโดยไม่มีความหวังเป็นเหตุทำให้เกิดความท้อถอยและหมดหวัง ส่วนการหวังโดยไม่มีความกลัวจะทำให้เกิดมูลเหตุของความรู้สึกว่าปลอดภัยจากการลงโทษของอัลลอฮฺ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่น่าตำหนิทั้งสิ้นและมีผลเสียต่อความเชื่อและอิบาดะฮฺของมนุษย์

    การหวังว่าอัลลอฮฺจะรับอะมัล พร้อมๆ กับการกลัวว่ามันจะถูกปฏิเสธ สามารถก่อให้เกิดความรู้สึกนอบน้อมถ่อมตนต่ออัลลอฮฺได้ แล้วอีมานก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเหตุนั้น เมื่อมีความหวัง มนุษย์ก็จะยกมือทั้งสองของเขาเพื่อวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺให้ทรงรับงานของเขา เพราะพระองค์ผู้ทรงเอกะเท่านั้นที่ทรงสามารถทำเช่นนั้นได้ และนี่ก็คือสิ่งที่บิดาของเราท่านนบีอิบรอฮีมและอิสมาอีล อะลัยฮิมัสสลาม ได้เคยทำเป็นตัวอย่างให้เรามาแล้ว เช่นที่อัลลอฮฺได้เล่าถึงพวกเขาเอาไว้ เมื่อครั้งที่ทั้งสองได้สร้างกะอฺบะฮฺว่า

    ﴿وَإِذْ يَرْفَعُ إِبْرَاهِيمُ الْقَوَاعِدَ مِنَ الْبَيْتِ وَإِسْمَاعِيلُ رَبَّنَا تَقَبَّلْ مِنَّا إِنَّكَ أَنتَ السَّمِيعُ الْعَلِيمُ﴾ (البقرة : 127 )

    ความว่า “และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ก่อฐานของบ้านหลังนั้นให้สูงขึ้น (ทั้งสองได้กล่าววิงวอนว่า) ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพวกข้าพระองค์ โปรดรับ(งาน)จากพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้นทรงได้ยิน และทรงรอบรู้" (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 127)

    4. อิสติฆฟารขออภัยโทษให้มาก ไม่ว่ามนุษย์จะพยายามมากแค่ไหนเพื่อทำอะมัลของเขาให้สมบูรณ์ แท้จริงแล้วเขาย่อมต้องประสบกับการขาดตกบกพร่องอย่างเลี่ยงไม่พ้น ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้สอนพวกเราว่าควรจะปรับปรุงแก้ตัวต่อส่วนที่บกพร่องอย่างไร พระองค์ได้สั่งให้เรากล่าวอิสติฆฟารหลังจากที่ได้ทำอิบาดะฮฺต่างๆ เสร็จสิ้น พระองค์ตรัสไว้หลังจากที่ได้กล่าวถึงภารกิจต่างๆ ในหัจญ์ว่า

    ﴿ثُمَّ أَفِيضُواْ مِنْ حَيْثُ أَفَاضَ النَّاسُ وَاسْتَغْفِرُواْ اللهَ إِنَّ اللهَ غَفُورٌ رَّحِيمٌ﴾ (البقرة : 199 )

    ความว่า “แล้วพวกเจ้าจงหลั่งไหลกันออกไป จากที่ที่ผู้คนได้หลั่งไหลกันออกไป และจงขออภัยต่ออัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ" (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 199)

    และพระองค์ได้สั่งนบีของพระองค์ เมื่อได้มาถึงบั้นปลายชีวิตของท่านที่เต็มไปด้วยการอิบาดะฮฺและการญิฮาดต่อสู้ในหนทางของพระองค์อัลลอฮฺว่า ให้ท่านนบีกล่าวอิสติฆฟาร

    ﴿إِذَا جَاء نَصْرُ اللهِ وَالْفَتْحُ ( 1 ) وَرَأَيْتَ النَّاسَ يَدْخُلُونَ فِي دِينِ اللهِ أَفْوَاجاً ( 2 ) فَسَبِّحْ بِحَمْدِ رَبِّكَ وَاسْتَغْفِرْهُ إِنَّهُ كَانَ تَوَّاباً ( 3 )(النصر)

    ความว่า “เมื่อความช่วยเหลือของอัลลอฮฺและการพิชิตได้มาถึงแล้ว และเจ้าได้เห็นประชาชนเข้าในศาสนาของอัลลอฮฺเป็นหมู่ๆ ดังนั้นจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า และจงขออภัยโทษต่อพระองค์เถิด แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษเสมอ" (สูเราะฮฺ อัน-นัศรฺ)

    ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงได้กล่าวในรุกูอฺและสุญูดว่า

    «سبحانك اللهم ربنا وبحمدك، اللهم اغفر لي» رواه البخاري.

    ความว่า “มหาบริสุทธิ์ยิ่ง โอ้พระผู้อภิบาลแห่งเรา และด้วยการสรรเสริญสดุดีพระองค์ โอ้ พระผู้อภิบาลแห่งเรา ขอทรงอภัยโทษให้แก่ข้าด้วยเถิด" (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์)

    และทุกครั้งหลังละหมาด ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะกล่าวว่า “อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ" สามครั้ง

    5. การทำความดีให้มาก แท้จริงความดีนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้ที่สง่างาม มันต้องการการรดน้ำและการดูแลเอาใจใส่ เพื่อให้มันเติบโตและแข็งแรง และให้มันออกดอกออกผล และหนึ่งในเครื่องหมายว่าการงานที่ดีนั้นถูกรับแล้วก็คือ การได้ทำความดีต่อเนื่องหลังจากนั้น เพราะความดีหนึ่งมักจะเรียกหาความดีอื่นๆ ด้วย เหมือนกับมันได้กล่าวเรียกว่า นั่นพี่น้องของฉัน นี่พี่น้องของฉัน และนี่ก็เป็นความเมตตาและบุญคุณความประเสริฐของอัลลอฮฺ ที่ทรงให้เกียรติบ่าวของพระองค์เมื่อเขาได้ทำดีและบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ ด้วยการที่พระองค์เปิดประตูสู่ความดีงามอื่นๆ อีก เพื่อให้เขาได้ใกล้ชิดพระองค์มากยิ่งขึ้น

    และประเด็นที่สำคัญที่สุดที่เรามีความต้องการในขณะนี้ก็คือ ต้องรักษาความต่อเนื่องในการปฏิบัติอะมัลศอลิหฺของเราที่เคยทำมาแล้ว โดยต้องดูแลรักษามันและเพิ่มมันขึ้นเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย และนี่ก็คือการอิสติกอมะฮฺนั่นเอง

    แปลโดยย่อจากเว็บ http://www.saaid.net/mktarat/hajj/85.htm