×
ข้อมูลว่าด้วยสนธิสัญญาของอะลุซซิมมะฮฺ หรือพลเมืองต่างศาสนิกที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองดูแลของประเทศอิสลาม อาทิ ปริมาณของญิซยะฮฺ (ค่าคุ้มครอง) บทบัญญัติต่างๆ เกี่ยวกับอะลุซซิมมะฮฺ ความประเสริฐของชาวคัมภีร์เมื่อเข้ารับอิสลาม บทบัญญัติอิสลามที่อะลุซซิมมะฮฺต้องปฏิบัติ บทบัญญัติระหว่างอะลุซซิมมะฮฺกับบรรดามุสลิม รูปแบบในการปฏิสัมพันธ์กับอะลุซซิมมะฮฺ บทบัญญัติว่าด้วยการยืนให้เกียรติแก่ผู้ที่มาเยือน เมื่อไหร่สนธิสัญญาของอะลุซซิมมะฮฺจะถูกยกเลิก เป็นต้น จากหนังสือมุคตะศ็อร อัลฟิกฮิล อิสลามีย์

    สนธิสัญญาของอะลุซซิมมะฮฺ

    ﴿عقد الذمة﴾

    ] ไทย – Thai – تايلاندي [

    มุหัมมัด อิบรอฮีม อัต-ตุวัยญิรีย์

    แปลโดย : ยูซุฟ อบู บักรฺ

    ผู้ตรวจทาน : อัสรัน นิยมเดชา

    ที่มา : มุคตะศ็อร อัลฟิกฮิล อิสลามีย์

    2009 - 1430

    ﴿عقد الذمة﴾

    « باللغة التايلاندية »

    محمد بن إبراهيم التويجري

    ترجمة: يوسف أبوبكر

    مراجعة: عصران إبراهيم

    مصدر : كتاب مختصر الفقه الإسلامي

    2009 - 1430

    ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

    สนธิสัญญาของอะลุซซิมมะฮฺ

    (พลเมืองต่างศาสนิกที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองดูแลของประเทศอิสลาม)

    สนธิสัญญาของอะลุซซิมมะฮฺ คือ การยอมรับบรรดาผู้ปฏิเสธให้คงอยู่ในศาสนาเดิมโดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องจ่ายญิซยะฮฺ (ค่าคุ้มครองหรือส่วย) ให้ปฏิบัติตนตามบทบัญญัติศาสนาอย่างเคร่งครัดและให้เขาทำข้อตกลงสัญญากับผู้นำหรือไม่ก็ทำกับตัวแทนของผู้นำ

    อะลุซซิมมะฮฺ คือ บรรดาชาวคัมภีร์ ได้แก่พวกยิว คริสเตียน และบรรดาผู้บูชาไฟที่ยึดถือปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเหมือนชาวคัมภีร์ และยังคงยึดถือปฏิบัติของบรรดาผู้บูชาไฟแบบดั้งเดิม ดังนั้นญิซยะฮฺ (ค่าคุ้มครอง) จะถูกเก็บจากพวกเขา ไม่เป็นที่อนุญาตให้แต่งงานกับผู้หญิงของพวกเขาหรือรับประทานสัตว์ที่พวกเขาเชือด ส่วนบรรดามุชริกนั้นไม่มีการให้การคุ้มครองแต่ประการใดจากอัลลอฮฺ รอสูลและจากบรรดามุอฺมิน สำหรับมุชริกให้เสนออิสลามให้แก่เขา หากไม่ยอมรับต่ออิสลามอนุญาตให้ทำการสู้รบได้ เพราะอิสลามจะไม่ให้การยอมรับการตั้งภาคีและการกราบไหว้ต่อรูปเจว็ดรูปปั้น ส่วนบรรดาชาวคัมภีร์ให้ยื่นข้อเสนอ 3 ประการ โดยให้เลือกระหว่างการยอมรับอิสลาม จ่ายญิซยะฮฺ (ค่าคุ้มครอง) หรือไม่ก็ให้ทำการสู้รบ


    ปริมาณของญิซยะฮฺ (ค่าคุ้มครอง)

    ผู้นำหรือผู้ที่ทำหน้าที่แทนเป็นผู้กำหนดโดยพิจารณาตามความเหมาะสมในยามทุกข์ยากหรือในยามสะดวก เอาจากบางส่วนของทองคำ เงิน เงินตรา หรือสิ่งอื่นๆ ที่ศาสนาอนุมัติ อาทิ เสื้อผ้า เหล็ก ปศุสัตว์ ฯลฯ และไม่มีการเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากเด็ก สตรี ทาส คนยากจน คนวิกลจริต คนตาบอด และนักบวช

    เมื่ออะลุซซิมมะฮฺได้จ่ายสิ่งที่เป็นหน้าที่ เช่น ญิซยะฮฺ (ค่าคุ้มครอง) คอรอจญฺ (ภาษีที่ดิน) อัดดิยะฮฺ (ค่าสินไหม) หนี้สิน หรือสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ จากรายได้ที่พวกเราเชื่อว่าเป็นของต้องห้าม แต่พวกเขาถือว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติสำหรับพวกเขา เช่น สุรา สุกร ก็เป็นการอนุญาตให้รับเอาจากพวกเขาได้

    บทบัญญัติต่างๆ เกี่ยวกับอะลุซซิมมะฮฺ

    เมื่อผู้ที่ได้รับการคุ้มครอง (อะลุซซิมมะฮฺ) ได้จ่ายค่าคุ้มครองให้แก่พวกเราเป็นความจำเป็นที่ต้องรับและห้ามทำการต่อสู้กับพวกเขา ในกรณีที่มีผู้เข้ารับอิสลามการจ่ายค่าคุ้มครองก็จะหมดไป เราต้องแสดงถึงความเข้มแข็งให้พวกเขาเห็นขณะที่รับค่าคุ้มครอง และเราจะต้องรับจากมือของพวกเขาเองในสภาพที่พวกเขารู้สึกว่ามีความต่ำต้อย

    และอนุญาตให้เยี่ยมเยียนผู้ป่วย กล่าวปลอบโยน (แสดงความเสียใจ) และปฏิบัติความดีต่อพวกเขา เพื่อเป็นการสร้างความอบอุ่นใจ และทำให้พวกเขามีความอยากเข้ารับอิสลามมากยิ่งขึ้น

    1. อัลลอฮฺตรัสว่า

    (ﭽ ﭾ ﭿ ﮀ ﮁ ﮂ ﮃ ﮄ ﮅ ﮆ ﮇ ﮈ ﮉ ﮊ ﮋ ﮌ ﮍ ﮎ ﮏ ﮐ ﮑ ﮒ ﮓ ﮔ ﮕ ﮖ ﮗ ﮘ ﮙ ﮚ) [التوبة/29]

    ความหมาย “พวกเจ้าจงต่อสู้กับบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อวันปรโลก และไม่งดเว้นสิ่งที่อัลลอฮฺและรอสูลห้ามไว้ และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจธรรมอันได้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์จนกว่าพวกเขาจะจ่ายอัลญิซยะฮฺจากมือของพวกเขาเอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย" (อัตเตาบะฮฺ : 29)

    2. อัลลอฮฺตรัสว่า

    (ﭹ ﭺ ﭻ ﭼ ﭽ ﭾ ﭿ ﮀ ﮁ ﮂ ﮃ ﮄ ﮅ ﮆ ﮇ ﮈ ﮉ ﮊ ﮋ ﮌ ﮍ ﮎ ﮏ) [الممتحنة/8]

    ความหมาย “อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้า เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม" (อัลมุมตะฮินะฮฺ : 8)

    ความประเสริฐของชาวคัมภีร์เมื่อเข้ารับอิสลาม

    عن أبي موسى رضي الله عنه قال: قال رسول الله ﷺ: «ثَلاثَةٌ لَـهُـمْ أَجْرَانِ: رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ الكِتَابِ آمَنَ بِنَبِيِّـهِ وَ آمَنَ بِمُـحَـمَّدٍ ﷺ ، وَالعَبْدُ المَـمْلُوكُ إذَا أَدَّى حَقَّ الله تَعَالَى، وَحَقَّ مَوَالِيهِ، وَرَجُلٌ كَانَتْ عِنْدَهُ أمَةٌ فَأَدَّبَـهَا فَأَحْسَنَ تَأْدِيبَـهَا، وَعَلَّـمَهَا فَأَحْسَنَ تَعْلِيمَهَا، ثُمَّ أَعْتَقَهَا فَتَزَوَّجَهَا فَلَـهُ أَجْرَانِ» . متفق عليه

    จากอบีมูสา เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “บุคคล 3 ประเภท ที่จะได้รับผลบุญถึงสองเท่า (1) ชาวคัมภีร์ที่ศรัทธาต่อนบีของเขาและศรัทธาต่อนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม (2) ทาสที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ที่มีต่ออัลลอฮฺ และหน้าที่ที่ต่อเจ้านาย (3) ผู้ที่รับผิดชอบทาสหญิงอยู่คนหนึ่ง แล้วเขาได้อบรมสั่งสอนนาง และได้ปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดี ต่อจากนั้นได้ปล่อยนางให้เป็นอิสระ และได้สมรสกับนาง เขาจะได้รับสองผลบุญ" (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 97, มุสลิม หมายเลขหะดีษ 154)

    บทบัญญัติอิสลามที่อะลุซซิมมะฮฺต้องปฏิบัติ

    จำเป็นต่อผู้นำให้ปฏิบัติต่อผู้ที่ได้รับการคุ้มครอง (อะลุซซิมมะฮฺ) ปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลามในด้านชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติยศ และให้กำหนดบทลงโทษในสิ่งที่พวกเขายึดถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้าม เช่น การผิดประเวณี แต่จะไม่กำหนดบทลงโทษในสิ่งที่พวกเขายึดถือว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติ เช่น สุรา สุกร ไม่ต้องกำหนดบทลงโทษแก่พวกเขา แต่ต้องห้ามไม่ให้พวกเขากระทำอย่างเปิดเผย

    บทบัญญัติระหว่างอะลุซซิมมะฮฺกับบรรดามุสลิม

    จำเป็นต้องแบ่งแยกระหว่างอะลุซซิมมะฮฺกับบรรดามุสลิมในด้านการดำเนินชีวิตและด้านการตาย เพื่อว่ามิให้ผู้คนเกิดสับสนหรือเข้าใจผิด ดังนั้นให้พวกเขาสวมเสื้อผ้า ใช้พาหนะที่มีความต่ำต้อยกว่ามุสลิมเพื่อเป็นการแยกแยะ และเป็นที่อนุญาตให้พวกเขาเข้ามัสยิดได้ โดยหวังงให้พวกเขาได้เข้ารับอิสลามยกเว้นในกรณีมัสยิดอัลฮะรอมเพราะไม่อนุญาตให้มุชริกเข้า

    รูปแบบในการปฏิสัมพันธ์กับอะลุซซิมมะฮฺ

    ไม่เป็นที่อนุญาตให้พวกเขาเป็นประธานในการดำเนินการประชุม (ให้นั่งข้างหน้า) ไม่อนุญาตในการยืนเพื่อแสดงการให้เกียรติแก่พวกเขา ไม่เริ่มต้นในการกล่าวสลามแก่พวกเขา หากพวกเขาได้เริ่มกล่าวสลามก่อนจำเป็นที่ต้องกล่าวตอบโดยให้กล่าวว่า “วะอะลัยกุม"

    ไม่อนุญาตให้กล่าวแสดงอวยพรเนื่องในวันตรุษของพวกเขา ห้ามให้สร้างโบสถ์คริสต์ โบสถ์ยิว สถานที่สำหรับทำการเคารพสักการะ ห้ามบริโภคสุรา สุกร หรือใช้กลอง ระฆังอย่างเปิดเผย ห้ามเปิดเผยคัมภีร์ของพวกเขา ห้ามการจัดสร้างอาคารบ้านเรือนที่สูงกว่าอาคารของมุสลิม รวมถึงเรื่องอื่นๆ และนับว่าเป็นเรื่องที่ดีในการให้การช่วยเหลือและปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาด้วยความดีงามไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำโดยคาดหวังในการเข้ารับนับถืออิสลามของพวกเขา อัลลอฮฺตรัสว่า

    (ﭹ ﭺ ﭻ ﭼ ﭽ ﭾ ﭿ ﮀ ﮁ ﮂ ﮃ ﮄ ﮅ ﮆ ﮇ ﮈ ﮉ ﮊ ﮋ ﮌ ﮍ ﮎ ﮏ) [الممتحنة/ 8]

    ความหมาย “อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้า เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม" (อัลมุมตะฮินะฮฺ : 8)

    บทบัญญัติว่าด้วยการยืนให้เกียรติแก่ผู้ที่มาเยือน

    อนุญาตให้ยืนให้เกียรติแก่มุสลิมที่มาเยือนเพื่อแสดงการให้เกียรติหรือให้การช่วยเหลือ และอนุญาตให้ก้าวเท้าเดินไปหาเพื่อแสดงการให้เกียรติแก่เขา ส่วนการยืนให้เกียรติแก่บุคคลที่นั่งอยู่ไม่เป็นที่อนุญาตนอกจากการกระทำดังกล่าวเพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยและเป็นการแสดงให้บรรดามุชริกเห็นถึงความน่าเกรงขาม เสมือนที่อัลมุฆีเราะฮฺ อิบนิ ชุอฺบะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เคยกระทำโดยการยืนเพื่อปกป้องท่านรอสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในขณะที่พวกกุเรชได้ส่งตัวแทนมาหาท่านรอสูลเพื่อเจรจาสงบศึก (ศุลฮุลอุดัยบิยะฮฺ)

    เมื่อไหร่สนธิสัญญาของอะลุซซิมมะฮฺจะถูกยกเลิก

    1. สนธิสัญญาของอะลุซซิมมะฮฺจะถูกยกเลิกเมื่อพวกเขาไม่ยอมจ่ายญิซยะฮฺ (ค่าคุ้มครอง) ต่อจากนั้นชีวิตและทรัพย์สินของเขาเป็นที่อนุญาต หรือในกรณีที่พวกเขาไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลาม ละเมิดสิทธิของมุสลิมจะด้วยการฆ่า ผิดประเวณี ปิดกั้นทางสัญจร เป็นสายลับ หรือกล่าวร้ายต่ออัลลอฮฺ รอสูล คัมภีร์ และบทบัญญัติของพระองค์

    2. เมื่อสนธิสัญญาของอะลุซซิมมะฮฺถูกยกเลิกพวกเขาก็จะกลายเป็นศัตรูคู่ศึก ในกรณีเช่นนี้ให้ผู้นำเป็นคนเลือกระหว่างฆ่า ปล่อยให้เป็นทาส ปล่อยโดยไม่มีเงื่อนไข หรือแลกตัวประกันให้พิจารณาตามประโยชน์ที่เห็นว่าเหมาะสม

    การทำสนธิสัญญาให้ความปลอดภัย

    เป็นที่อนุญาตในให้การคุ้มครองผู้ปฏิเสธในช่วงระยะเวลาที่กำหนดชัดเจน เพื่อพวกเขาจะได้ทำการค้าขาย หรือจนกว่าพวกเขาได้รับรู้คำดำรัสแห่งอัลลอฮฺ หรือจนกระทั่งเขากลับและรูปแบบทำนองเดียวกันนี้ เป็นที่อนุญาตให้แก่มุสลิมทุกคนที่บรรลุศาสนภาวะ มีสติสัมปชัญญะ ไม่ถูกบังคับ ตราบใดที่ไม่กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่เขา ส่วนผู้นำสามารถให้การคุ้มครองแก่บรรดามุชริกีนทั้งหมดได้ ดังนั้นเมื่อมีการทำสนธิสัญญาแล้วเป็นที่ต้องห้ามในการฆ่า จับเป็นเชลย และสร้างความเดือดร้อนให้แก่เขา อัลลอฮฺตรัสว่า

    (ﯦ ﯧ ﯨ ﯩ ﯪ ﯫ ﯬ ﯭ ﯮ ﯯ ﯰ ﯱ ﯲ ﯳ ﯴ ﯵ ﯶ ﯷ ﯸ ﯹ) [التوبة/6]

    ความหมาย “และหากว่ามีคนใดในกลุ่มพวกมุชริกได้ขอให้เจ้าคุ้มครอง ก็จงคุ้มครองเขาเถิด จนกว่าเขาจะได้ยินดำรัสของอัลลอฮฺ แล้วจงส่งเขายังที่ปลอดภัยของเขา นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ไม่รู้" (อัตเตาบะฮฺ : 6)

    บทบัญญัติเกี่ยวกับการคงบรรดาผู้ปฏิเสธไว้ในคาบสมุทรอาหรับ

    ไม่เป็นที่อนุญาตให้พวกยิว คริสเตียน และบรรดาผู้ปฏิเสธพำนักอาศัยอยู่อย่างถาวรในคาบสมุทรอาหรับ ส่วนการเข้ามาอยู่เพื่อทำงานนั้นอนุญาตให้มาอยู่ได้ในกรณีที่มีความจำเป็นโดยมีเงื่อนไขว่ามุสลิมจะปลอดภัยจากความชั่วร้ายของพวกเขา

    บทบัญญัติเกี่ยวกับการเข้ามัสยิดของผู้ปฏิเสธ

    1. ไม่อนุญาตให้บรรดาผู้ปฏิเสธเข้ามัสยิดอัลฮะรอมมักกะฮฺ อัลลอฮฺตรัสว่า

    (ﭟ ﭠ ﭡ ﭢ ﭣ ﭤ ﭥ ﭦ ﭧ ﭨ ﭩ ﭪ ﭫ ﭬ ﭭ ﭮ ﭯ ﭰ ﭱ ﭲ ﭳ ﭴ ﭵ ﭶ ﭷ ﭸ ﭹ ﭺ ﭻ ﭼ) [التوبة/28]

    ความหมาย “บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายแท้จริงบรรดามุชริกนั้นโสมม ดังนั้นพวกเขาจงอย่าเข้าใกล้มัสยิดอัลฮะรอม หลังจากปีของพวกเขานี้ และหากพวกเจ้ากลัวความยากจนอัลลอฮฺก็จะทรงให้พวกเจ้าร่ำรวยจากความกรุณาของพระองค์ หากพระองค์ทรงประสงค์แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ" (อัตเตาบะฮฺ : 28)

    2. ไม่อนุญาตให้บรรดาผู้ปฏิเสธเข้ามัสยิดอื่นๆ นอกจากได้รับการอนุญาตจากมุสลิมเนื่องจากมีความจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่น

    โทษของผู้ที่ฆ่าคนที่ได้รับการคุ้มครองโดยที่เขาไม่มีความผิด

    عن عبدالله بن عمرو رضي الله عنهما عن النبي ﷺ قال: «مَنْ قَتَلَ مُعَاهَداً لَـمْ يَرَحْ رَائِحَةَ الجَنَّةِ، وَإنَّ رِيحَهَا يُوْجَدُ مِنْ مَسِيرَةِ أَرْبَـعِينَ عَامَاً». أخرجه البخاري

    จากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรู เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดที่ฆ่าผู้ที่ได้รับการคุ้มครองเขาจะไม่ได้ดมกลิ่นของสวนสวรรค์ และแท้จริงกลิ่นหอมของสวนสวรรค์นั้นจะสัมผัสได้เป็นระยะทางถึง 40 ปี" (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 3166)

    บทบัญญัติเกี่ยวกับการก่อสร้างโบสถ์คริสต์ โบสถ์ยิว

    บรรดามัสยิดต่างๆ เป็นศาสนสถานแห่งการศรัทธา ส่วนโบสถ์คริสต์ โบสถ์ยิวเป็นศาสนสถานแห่งการตั้งภาคีและการปฏิเสธ และผืนปฐพีทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์แห่งอัลลอฮฺ อัซซา วะญัลลา และแท้จริงอัลลอฮฺได้สั่งใช้ให้มีการก่อสร้างมัสยิดเพื่อไว้สำหรับดำรงการละหมาด และห้ามการเคารพสักการะต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระองค์อัลลอฮฺ