أكل المال الحرام
أعرض المحتوى باللغة الأصلية
أكل المال الحرام : مقالة مقتبسة ومترجمة من كتاب: «الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة» للشيخ أمين بن عبد الله الشقاوي - حفظه الله – يوضح فيها أن الله طيب لا يقبل إلا طيبا، وأكل المال المحرم يعرض صاحبه إلى عدم قبول العمل الصالح الذي أنفق عليه من المال المحرم، ويحاسب عليه، وسبب لرد الدعاء وعدم استجابته، مع التوثيق بالأدلة من الكتاب والسنة وأقوال السلف.
การบริโภคทรัพย์สินที่ต้องห้าม
] ไทย – Thai – تايلاندي [
ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์
แปลโดย : อันวา สะอุ
ตรวจทานโดย : ซุฟอัม อุษมาน
ที่มา : หนังสือ อัด-ดุร็อรฺ อัล-มุนตะกอฮฺ มิน อัล-กะลีมาต อัล-
มุลกอฮฺ
2012 - 1434
أكل المال الحرام
« باللغة التايلاندية »
د. أمين بن عبد الله الشقاوي
ترجمة: أنور إسماعيل
مراجعة: صافي عثمان
المصدر: كتاب الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة
2012 - 1434
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
เรื่องที่ 34
การบริโภคทรัพย์สินที่ต้องห้าม
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ การสรรเสริญและความสันติจงประสบแด่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ขอปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮฺพระองค์เดียวเท่านั้นโดยปราศจากการตั้งภาคีใดๆ ต่อพระองค์ และขอปฏิญานตนว่ามุหัมหมัดคือบ่าวและศาสนทูตของอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
﴿وَلَا تَأۡكُلُوٓاْ أَمۡوَٰلَكُم بَيۡنَكُم بِٱلۡبَٰطِلِ وَتُدۡلُواْ بِهَآ إِلَى ٱلۡحُكَّامِ لِتَأۡكُلُواْ فَرِيقٗا مِّنۡ أَمۡوَٰلِ ٱلنَّاسِ بِٱلۡإِثۡمِ وَأَنتُمۡ تَعۡلَمُونَ ١٨٨﴾ [البقرة :188]
ความว่า “และจงอย่าแย่งชิงทรัพย์สินกันและกันโดยวิธีการที่มิชอบธรรม และจงอย่าเสนอให้แก่ผู้พิพากษาเพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้กลืนกินสมบัติส่วนหนึ่งของคนอื่นโดยไม่เป็นธรรมทั้ง ๆ ที่สูเจ้ารู้ดีอยู่” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 188 )
ท่านอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า อายะฮฺนี้กล่าวถึงกรณีที่ชายคนหนึ่งครอบครองทรัพย์โดยไม่ชอบธรรมและไม่มีหลักฐานใดๆบ่งชี้ว่าทรัพย์นั้นเป็นของเขา แต่เขาพยายามร้องเรียนไปยังผู้พิพากษา ทั้งๆ ที่เขาทราบดีว่าแท้จริงแล้วทรัพย์สินนั้นไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของเขา ดังนั้น การกระทำของถือว่าบาป และถือว่าเขาเป็นผู้ที่บริโภคทรัพย์สินที่ต้องห้าม (ตัฟสีรฺ อิบนุกะษีรฺ 1/224-225)
และอัลลอฮฺได้ตรัสอีกว่า
﴿إِنَّ ٱلَّذِينَ يَأۡكُلُونَ أَمۡوَٰلَ ٱلۡيَتَٰمَىٰ ظُلۡمًا إِنَّمَا يَأۡكُلُونَ فِي بُطُونِهِمۡ نَارٗاۖ وَسَيَصۡلَوۡنَ سَعِيرٗا ١﴾ [النساء : 10]
ความว่า “แท้จริง บรรดาผู้ที่กินทรัพย์ของบรรดาเด็กกำพร้าด้วยความอธรรมนั้น แท้จริง พวกเขากินไฟเข้าไปในท้องของพวกเขาต่างหาก และพวกเขาก็จะเข้าไปสู่เปลวเพลิง” (อัน-นิสาอ์ :10)
อิหม่ามอะหฺมัดได้บันทึกหะดีษในหนังสือมุสนัดของท่าน รายงานจากท่าน กะอฺบ เบ็น อิยาฎ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«إِنَّ لِكُلِّ أُمَّةٍ فِتْنَةً ، وَإِنَّ فِتْنَةَ أُمَّتِي المَالُ» [رواه أحمد برقم 17471]
ความว่า “แท้จริง ทุกๆ ประชาชาติ จะต้องพบเจอกับฟิตนะฮฺ (บททดสอบ) และฟิตนะฮฺที่ประชาชาติของฉัน จะต้องพบเจอ ก็คือทรัพย์สินเงินทอง” (บันทึกโดย อะหฺมัด หมายเลขหะดีษ: 17471)
และหากสังเกตเห็นในปัจจุบันจะพบว่าผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ใส่ใจกับการบริโภคทรัพย์สินต้องห้าม ซึ่งสิ่งดังกล่าวนั้นตรงกับคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยท่านได้กล่าวว่า
«لَيَأْتِيَنَّ عَلَى النَّاسِ زَمَانٌ لاَ يُبَالِي الْمَرْءُ بِمَا أَخَذَ الْمَالَ، أَمِنَ الْحَلاَلِ أَمْ مِنَ حَرَام» [أخرجه البخاري برقم 2083]
ความว่า “จะมียุคสมัยหนึ่ง ที่ผู้คนจะไม่ใส่ใจว่า ทรัพย์สินที่แสวงหามาได้นั้น มาจากแหล่งที่หะลาล (อนุมัติ) หรือหะรอม(ต้องห้าม)?” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ 2/84 หมายเลขหะดีษ : 2083)
ท่านอิบนุ อัล-มุบาร็อก กล่าวว่า “และการที่ฉันปฏิเสธรับเงินที่ชุบฮะฮฺ (คลุมเครือ) จำนวนหนึ่งดิรฮัม เป็นสิ่งที่ดีกว่าการที่ฉันบริจาคทานด้วยเงินจำนวนหนึ่งแสนดิรฮัม”
ท่านอุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า "เราได้ละทิ้งเก้าจากสิบส่วนของสิ่งที่เป็นที่หะลาล(อนุมัติ)เพราะเกรงว่าจะตกอยู่ในสิ่งที่ต้องห้าม" และการที่ท่านอุมัรฺกระทำเช่นนั้นเนื่องจากท่านได้ประพฤติตนสอดคล้องกับหะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ได้กล่าวว่า
«إنَّ الحَلَالَ بَيِّنٌ وَإِنَّ الحَرَامَ بَيِّنٌ ، وبَيْنَهُمَا اُمُورٌ مُشْتَبِهاتٌ ، لاَ يَعْلَمُهُنَّ كَثِيْرٌ مِنَ النَّاسِ ، فَمَنِ اتَّقَى الشُّبُهَاتِ ، فَقَدْ اِسْتَبْرَأَ لِدِيْنِهِ وَعِرْضِهِ ، وَمَنْ وَقَعَ فِيْ الشُّبُهَاتِ وَقَعَ فِيْ الحَرَامِ ، كَالرَّاعِيْ يَرْعَى حَوْلَ الحِمَى يُوْشِكُ أَنْ يَرْتَعَ فِيْهِ» [أخرجه البخاري برقم 2051 ومسلم برقم 1599]
ความว่า "แท้จริง สิ่งที่อนุมัติ (หะลาล) นั้นชัดเจนและสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม) ก็ชัดเจนเช่นกัน และในระหว่างทั้งสองนั้นคือสิ่งที่คลุมเครือ ซึ่งผู้คนส่วนมากไม่รู้ ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่ระแวดระวังและปกป้องตัวเขาจากสิ่งที่คลุมเครือ แท้จริงเขาได้ให้ศาสนาและเกียรติของเขาใสสะอาดปราศจากมลทิน และใครก็ตามที่ตกอยู่ในสิ่งที่คลุมเครือ ก็เสมือนกับว่าเขาได้ตกอยู่ในสิ่งที่ต้องห้าม เปรียบดังเช่นผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์อยู่รอบๆ บริเวณเขตหวงห้าม ซึ่งมันเกือบจะเล็ดลอดเข้าไปกินในเขตหวงห้ามอยู่แล้ว" (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 2/74 หมายเลขหะดีษ 2051 และมุสลิม 3/1219-1220 หมายเลขหะดีษ 1599)
และส่วนหนึ่งจากตัวอย่างของการบริโภคทรัพย์ต้องห้าม คือ การกินดอกเบี้ย ซึ่งเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ได้ห้าม ตลอดจนสาปแช่งผู้ที่รับ ผู้ที่เขียน และผู้ที่เป็นพยานเกี่ยวกับดอกเบี้ย
อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ตรัสว่า
﴿يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ ٱتَّقُواْ ٱللَّهَ وَذَرُواْ مَا بَقِيَ مِنَ ٱلرِّبَوٰٓاْ إِن كُنتُم مُّؤۡمِنِينَ ٢٧٨﴾ [البقرة : 278]
ความว่า “บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเกรงกลัวอัลลอฮฺ และจงละทิ้งดอกเบี้ยในส่วนที่สูเจ้ายังอาจจะได้รับ ถ้าหากสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 278)
ปัจจุบันมีมุสลิมบางคนเกิดความละโมบโลภมากในทรัพย์สินเงินทอง จึงมีบางคนแย่งกันซื้อหุ้นกู้ของธนาคารพาณิชย์ระบบดอกเบี้ย และมีบางคนฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ระบบดอกเบี้ย หวังเพื่อรับดอกผลจากเงินฝากดังกล่าวโดยอ้างว่าดอกผลนั้นเป็นเงินกำไรหรือเงินปันผล และสิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ การที่ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งต่างแข่งขันกันในทุกรูปแบบและทุกวิธีทางเพื่อให้ผู้คนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับดอกเบี้ย โดยมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์มุ่งหวังให้สินทรัพย์อันสกปรกมียอดจำนวนเพิ่มขึ้นในธนาคารของตน ตัวอย่างเช่น การออกบัตรเครดิต ซึ่งสำนักฟัตวาของราชอาณาจักรซาอุดิอารเบียได้ชี้ขาดแล้วว่าการใช้บัตรเครดิตนี้เป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย ซึ่งอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ได้ห้ามสิ่งนั้นอย่างเด็ดขาด บัตรเครดิตนี้ เป็นบัตรที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์โดยผู้ถือต้องเสียค่าธรรมเนียมในการออกบัตร และมีสิทธิ์ในการใช้ซื้อสินค้าชนิดต่างๆ ตามที่ตนต้องการ แต่ต้องชำระค่าสินค้าภายในระยะเวลาที่กำหนด หากพ้นระยะเวลาที่กำหนดธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเป็นรายวัน (ฟัตวา ลุจญ์นะฮฺ อัด-ดาอิมะฮฺ หมายเลข 17611)
ส่วนหนึ่งจากรูปแบบการบริโภคทรัพย์ต้องห้าม คือการผิดนัดจ่ายค่าจ้างของลูกจ้างผู้ใช้แรงงาน และการไม่ดูแลสิทธิที่พึงได้ของพวกเขา
และส่วนหนึ่งจากรูปแบบการบริโภคทรัพย์ต้องห้าม คือ การสาบานเท็จในเรื่องเกี่ยวกับสินค้าที่จัดจำหน่ายหรือการไม่มีความซื่อสัตย์ในการค้าขาย เป็นต้น
การบริโภคทรัพย์ที่ต้องห้ามถือเป็นการนำพาตัวเองสู่ความหายนะโดยเฉพาะในหลุมฝังศพและในวันปรโลกเขาผู้นั้นจะได้รับโทษตามบาปที่ได้ก่อไว้ ส่วนความหายนะบนโลกนี้ ทรัพย์สินของเขาอาจพบเจอกับความขาดทุน
ส่วนผลเสียในโลกนี้ การลงโทษของอัลลอฮฺอาจจะเกิดขึ้นในรูปแบบที่ทำให้ทรัพย์สินเกิดความขาดทุน หรืออัลลอฮฺได้ถอนความบะเราะกะฮฺ (จำเริญ)จากทรัพย์สินเหล่านั้น หรือการลงโทษอาจจะเกิดกับร่างกายของเขา อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿يَمۡحَقُ ٱللَّهُ ٱلرِّبَوٰاْ وَيُرۡبِي ٱلصَّدَقَٰتِۗ وَٱللَّهُ لَا يُحِبُّ كُلَّ كَفَّارٍ أَثِيمٍ ٢٧٦﴾ [البقرة : 276]
ความว่า “อัลลอฮฺจะทรงบั่นทอนความจำเริญออกจากดอกเบี้ยและจะทรงเพิ่มพูนกุศลทาน และอัลลอฮฺไม่ทรงรักคนบาปหนาที่เนรคุณทุกคน” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ :276)
ส่วนความหายนะในหลุมฝังศพ มีรายงานในหะดีษบทหนึ่งว่ามีทาสคนหนึ่งชื่อว่า มุดอิม เขาได้อยู่รับใช้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดเวลา ต่อมาเขาได้ตายชะฮีดในสมรภูมิคอยบัรฺ เนื่องจากโดนลูกธนู บรรดาเศาะหาบะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ต่างกล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีสำหรับการตายชะฮีดของเขา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«بَلْ وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ ، إِنَّ الشَّمْلَةَ الَّتِي أَصَابَهَا يَوْمَ خَيْبَرَ مِنَ الْمَغَانِمِ لَمْ تُصِبْهَا الْمَقَاسِمُ لَتَشْتَعِلَنَّ عَلَيْهِ نَارًا»
ความว่า "ไม่เลย ขอสาบานด้วยผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แท้จริงเสื้อคลุมที่เขาลักขโมยจากทรัพย์เชลยในสมรภูมิคอยบัรฺ ซึ่งยังไม่ได้ถูกแบ่งปัน(ให้แก่บรรดานักรบนั้น) จะเป็นเชื้อเพลิงไฟในนรก" เมื่อผู้คนได้ยินตามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าว ก็มีชายคนหนึ่งได้นำเชือกผูกรองเท้าหนึ่งเส้นหรือสองเส้น มาคืนให้ท่านนบี (หลังจากที่ลักขโมยมา)ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«شِرَاكٌ أَوْ شِرَاكَانِ مِنْ نَارٍ» [أخرجه البخاري برقم 6707]
ความว่า “นี่ก็เป็นเชือกผูกรองเท้าหนึ่งเส้นหรือสองเส้นที่เป็นเชื้อเพลิงไฟจากนรก” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 4/230 หมายเลข 6707)
เสื้อคลุมที่ทาสคนดังกล่าวลักขโมยนั้น เป็นเสื้อคลุมที่มีราคาไม่กี่ดิรฮัม แต่ทว่าผู้ที่ขโมยนั้นไม่รอดพ้นจากการลงโทษเนื่องจากเป็นการบริโภคทรัพย์ต้องห้าม
ส่วนความหายนะในวันปรโลก มีรายงานจากท่านกะอฺบ บิน อุจญ์เราะฮฺ แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวแก่เขาว่า
«لَا يَرْبُو لَحْمٌ نَبَتَ مِنْ سُحْتٍ إِلَّا كَانَتْ النَّارُ أَوْلَى بِهِ» [الترمذي برقم 614]
ความว่า “ไม่มีเนื้อก้อนไหนที่มันงอกเงยออกมาจากสิ่งที่ต้องห้าม นอกจากนรกคือสิ่งที่เหมาะสมยิ่งสำหรับมัน” (บันทึกโดย อัต-ติรมิซีย์ 2/513 หมายเลข 614)
และส่วนหนึ่งจากบทลงโทษของการบริโภคทรัพย์ต้องห้าม คือ อัลลอฮฺไม่ทรงตอบรับดุอาอ์ (บทขอพร)และอิบาดะฮฺ ของเขา
รายงานจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«أَيُّهَا النَّاسُ إِنَّ اللَّهَ طَيِّبٌ لَا يَقْبَلُ إِلَّا طَيِّبًا ، وَإِنَّ اللَّهَ أَمَرَ الْمُؤْمِنِينَ بِمَا أَمَرَ بِهِ الْمُرْسَلِينَ ، فَقَالَ : ﴿يَأَيُّهَا الرُّسُلُ كُلُوا مِنَ الطَّيِّبَاتِ وَاعْمَلُوا صَالِحًا إِنِّي بِمَا تَعْمَلُونَ عَلِيمٌ﴾ [سورة المؤمنون آية 51]، وَقَالَ : ﴿يَأَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا كُلُوا مِنْ طَيِّبَاتِ مَا رَزَقْنَاكُمْ﴾ [سورة البقرة آية 172] ، ثُمَّ ذَكَرَ الرَّجُلَ يُطِيلُ السَّفَرَ أَشْعَثَ أَغْبَرَ ، يَمُدُّ يَدَيْهِ إِلَى السَّمَاءِ يَا رَبِّ يَا رَبِّ ، وَمَطْعَمُهُ حَرَامٌ وَمَشْرَبُهُ حَرَامٌ وَمَلْبَسُهُ حَرَامٌ وَغُذِيَ بِالْحَرَامِ فَأَنَّى يُسْتَجَابُ لِذَلِكَ» [رواه مسلم برقم 1015]
ความว่า “ โอ้ มนุษย์ทั้งหลายอันที่จริงอัลลอฮฺนั้นทรงดี พระองค์จะไม่รับ(สิ่งใด)เว้นแต่สิ่งที่ดีๆ (หะลาล) และอัลลอฮฺทรงสั่งใช้ผู้ศรัทธาทั้งหลายเหมือนกับที่พระองค์ทรงสั่งใช้สิ่งนั้นต่อบรรดาศาสนทูตทั้งหลาย และพระองค์ได้ตรัสว่า โอ้ บรรดาศาสนทูต พวกท่านจงบริโภคในสิ่งที่ดีและจงประพฤติแต่ความดี แท้จริงข้ารอบรู้ในสิ่งที่พวกท่านประพฤติ (อัล-มุอ์มินูน:51) และพระองค์ได้ตรัสอีกว่า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายพวกท่านจงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้แก่พวกท่านเถิด เฉพาะที่ดีๆ เท่านั้น (อัล-บะเกาะเราะฮฺ:172) ต่อจากนั้นท่านนบีได้กล่าวถึงชายคนหนึ่งที่การเดินทางของเขาแสนยาวนาน จนทำให้เส้นผมของเขายุ่งเหยิงเต็มไปด้วยฝุ่น เขาได้ยกมือของเขาสู่ฟ้า(กล่าวดุอาอ์) ว่า โอ้ พระผู้เป็นเจ้าของฉัน โอ้ พระผู้เป็นเจ้าของฉัน ในขณะที่อาหาร เครื่องดื่ม และเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาเป็นสิ่งต้องห้าม และเขาเขาเติบโตมาด้วยทรัพย์สินที่ต้องห้าม ดังนั้นไฉนเล่าการขอพรของเขาจะถูกตอบรับ?” (บันทึกโดยมุสลิม 2/73 หมายเลขหะดีษ 1015)
หะดีษบทนี้ได้เตือนสติผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ถูกมารร้ายหลอกลวง จนทำให้เขาลืมตัวและคิดว่าการกระทำของเขานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและงดงาม ดังนั้นจะเห็นว่าพวกเขาบริโภคทรัพย์ที่ต้องห้ามและนำทรัพย์สินต้องห้ามบางส่วนมาบริจาคเพื่อกิจกรรมการกุศล เช่น การสร้างมัสยิด สร้างโรงเรียน ขุดบ่อน้ำ เป็นต้น โดยคิดว่าการกระทำของพวกเขาเช่นนั้นจะช่วยลบล้างมลทิน แต่หารู้ไม่ว่าพวกเขาจะถูกอัลลอฮฺลงโทษด้วยสาเหตุสองประการด้วยกัน
ประการแรก อัลลอฮฺไม่ทรงตอบรับการงานงานที่ดีที่พวกเขาได้บริจาคจากทรัพย์ต้องห้าม เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«إِنَّ اللَّهَ طَيِّبٌ لَا يَقْبَلُ إِلَّا طَيِّبًا» [مسلم برقم 1015]
ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺนั้นดี ไม่ทรงรับสิ่งใดนอกจากที่ดี ๆ (หะลาล)” (บันทึกโดยมุสลิม 2/73 หมายเลขหะดีษ 1015)
ประการที่สอง อัลลอฮฺจะทรงลงโทษเขาเนื่องจากเขาได้บริโภคทรัพย์สินที่ต้องห้าม และพระองค์จะทรงสอบสวน และชำระบัญชีกับเขาในวันปรโลก
รายงานจากเคาละฮฺ อัล-อันศอริยะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า
«إِنَّ رِجَالًا يَتَخَوَّضُونَ فِي مَالِ اللَّهِ بِغَيْرِ حَقٍّ ، فَلَهُمُ النَّارُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ» [رواه البخاري برقم 3118]
ความว่า “แท้จริง บรรดาผู้คนที่ไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของอัลลอฮฺโดยไม่ชอบธรรมนั้น สำหรับพวกเขาในวันปรโลกแล้วคือไฟนรก” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ 2/393 หมายเลข 3118)
ท่านสุฟยาน อัษ-เษารีย์ กล่าวว่า “ผู้ใดที่นำทรัพย์ที่ต้องห้ามมาบริจาคในกิจกรรมการกุศล เปรียบเสมือนกับผู้ที่ซักผ้าด้วยน้ำปัสสาวะ ดังนั้น เสื้อผ้านั้นจะไม่สะอาดนอกจากต้องทำความสะอาดด้วยน้ำบริสุทธิ์เท่านั้น เช่นเดียวกับมวลบาปไม่สามารถที่จะลบล้างมันได้นอกจากต้องชำระด้วยการบริจาคทรัพย์สินที่หะลาลเท่านั้น”
โอ้อัลลอฮฺ ขอให้ข้าพระองค์มีสิ่งหะลาลเพียงพอเพื่อที่จะได้ไม่ไปหาสิ่งหะรอม และขอให้ข้าพระองค์มีความมั่งคั่งร่ำรวยด้วยความโปรดปรานของพระองค์ โดยไม่ต้องไปพึ่งอื่นจากพระองค์เลย
والحمد لله رب العالمين،
وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين.