translation ผู้เขียน : อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์
1

ห้ามโกนเครา

1.9 MB DOC
2

ห้ามโกนเครา

255 KB PDF

تحريم حلق اللحية : مقالة مقتبسة من كتاب الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة، للشيخ أمين عبدالله الشقاوي، مقالة قيمة تبين وجوب إعفاء اللحية وعدم تقصيرها أو أخذ جزء منها، لما فيها من اجتناب التشبه بالكفار، وهي من سنن الفطرة التى فعلها النبي - صلى الله عليه وسلم - والأنبياء من قبله، وأمر اللهُ المؤمن بالمحافظة عليها.

    ห้ามโกนเครา

    ] ไทย – Thai – تايلاندي [

    ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

    แปลโดย : อุศนา พ่วงศิริ

    ตรวจทานโดย : อัสรัน นิยมเดชา

    ที่มา : หนังสือ อัด-ดุร็อรฺ อัล-มุนตะกอฮฺ มิน อัล-กะลีมาต
    อัล-มุลกอฮฺ

    2012 - 1433

    ﴿ تحريم حلق اللحية﴾

    « باللغة التايلاندية »

    د. أمين بن عبدالله الشقاوي

    ترجمة: حسنى فوانجسيري

    مراجعة: عصران نيومديشا

    المصدر: كتاب الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة

    2012 - 1433

    ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

    เรื่องที่ 125

    ห้ามโกนเครา

    มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล ขอความสุขความจำเริญและความสันติจงประสบแด่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนวงศ์วานและมิตรสหายของท่าน ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่า มุหัมมัดเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์

    การโกนเคราเป็นการฝ่าฝืนประการหนึ่งที่ผู้คนจำนวนมากในสังคมปัจจุบันได้กระทำกันอย่างแพร่หลาย

    มีบันทึกในเศาะฮีหฺมุสลิมจากท่านตะมีม อัดดารียฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า

    أنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم قال: الدِّيْنُ النَّصِيْحَةُ، قُلْنَا: لِمَنْ؟ قَالَ: «للهِ وَلِكِتَابِهِ وَلِرَسُوْلِهِ وَلأَئِمَّةِ الْمُسْلِمِيْنَ وَعَـامَّتِهِمْ» [مسلم برقم 55]

    ความว่า: “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่าศาสนาคือการตักเตือน พวกเราจึงกล่าวถามว่า: เพื่อใครหรือครับ? ท่านตอบว่า: เพื่ออัลลอฮฺ เพื่อคัมภีร์ของพระองค์ เพื่อเราะสูลของพระองค์ เพื่อบรรดาผู้นำของมวลมุสลิม และเพื่อมุสลิมโดยทั่วไป" (มุสลิม หะดีษเลขที่ 55)

    และในหะดีษอีกบทหนึ่ง ท่านญะรีรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า:

    «بَايَعْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، عَلَى السَّمْعِ وَالطَّاعَةِ، فَلَقَّنَنِي : «فِيمَا اسْتَطَعْتَ» وَالنُّصْحِ لِكُلِّ مُسْلِمٍ. [مسلم برقم 56]

    ความว่า: "ฉันได้ให้สัตยาบันต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่าจะเชื่อฟังและทำตามท่าน ซึ่งท่านได้บอกให้ฉันเพิ่มว่า: ในสิ่งที่ฉันมีความสามารถ และ (ได้ให้สัตยาบันอีกเช่นกันว่า) จะตักเตือนมุสลิมทุกคน" (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 56)

    และเพื่อเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของท่านนบีในหะดีษข้างต้น ในที่นี้เราจะขอกล่าวตักเตือนเกี่ยวกับการโกนเครา

    เคราในที่นี้คือนามที่ใช้เรียกขนที่ขึ้นตามแก้ม ขากรรไกรและคาง ซึ่งมีตัวบทหลักฐานมากมายที่ได้กล่าวถึงการห้ามโกนหรือตัดส่วนหนึ่งส่วนใดของเครา ทั้งนี้ ก็ด้วยเหตุผลหลายประการดังนี้:

    ประการแรก การโกนเคราถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้างมา โดยพระองค์ได้ตรัสเล่าถึงคำพูดของอิบลีสผู้ถูกสาปแช่งว่า:

    ﴿وَلَأٓمُرَنَّهُمۡ فَلَيُبَتِّكُنَّ ءَاذَانَ ٱلۡأَنۡعَٰمِ وَلَأٓمُرَنَّهُمۡ فَلَيُغَيِّرُنَّ خَلۡقَ ٱللَّهِۚ ﴾ [النساء : ١١٩]

    ความว่า: "และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะใช้พวกเขา แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะผ่าหูปศุสัตว์ และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะใช้พวกเขา แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้าง" (อันนิสาอ์: 119)

    ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมุสลิม ที่จะไม่กระทำการใดๆ ที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้างมา นอกเสียจากว่าจะเป็นส่วนที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้ เช่น เส้นผมบนศีรษะ หนวด ขนรักแร้ เล็บ หรืออื่นจากนี้ที่มีบทบัญญัติอนุมัติให้กระทำการเปลี่ยนแปลง

    และถ้าหากว่าสตรีที่กันคิ้วหรือดัดฟันเพื่อความสวยงาม ยังถูกท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สาปแช่ง ดังที่มีบันทึกรายงานจากท่านอิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮูอันฮฺ เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:

    «لَعَنَ اللَّهُ الْوَاشِمَاتِ، وَالْمُسْتَوْشِمَاتِ، وَالْمُتَنَمِّصَاتِ، وَالْمُتَفَلِّجَاتِ لِلْحُسْنِ، الْمُغَيِّرَاتِ خَلْقَ اللَّهِ» [البخاري برقم 5943، ومسلم برقم 2125]

    ความว่า: “อัลลอฮฺทรงสาปแช่งบรรดาหญิงที่ทำการสัก บรรดาหญิงที่ให้ผู้อื่นสักให้ บรรดาหญิงที่ให้ผู้อื่นถอนขนคิ้วให้ และบรรดาหญิงที่ให้ผู้อื่นทำฟันให้เพื่อความสวยงาม พวกนางเหล่านั้นคือผู้ที่เปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ" (บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 5943 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2125)

    ซึ่งเหตุผลของการถูกสาปแช่งก็เพราะว่าการกระทำของพวกนาง เป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้างมา ทั้งที่พวกนางได้รับการอนุมัติให้เสริมแต่งความงามได้ ในกรณีของบุรุษจึงย่อมต้องเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างชัดเจนยิ่งกว่า!

    อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า:

    ﴿فَأَقِمۡ وَجۡهَكَ لِلدِّينِ حَنِيفٗاۚ فِطۡرَتَ ٱللَّهِ ٱلَّتِي فَطَرَ ٱلنَّاسَ عَلَيۡهَاۚ لَا تَبۡدِيلَ لِخَلۡقِ ٱللَّهِۚ ذَٰلِكَ ٱلدِّينُ ٱلۡقَيِّمُ وَلَٰكِنَّ أَكۡثَرَ ٱلنَّاسِ لَا يَعۡلَمُونَ ٣٠ ﴾ [الروم: ٣٠]

    ความว่า: "ดังนั้น เจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงแท้ โดยเป็นธรรมชาติของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างของอัลลอฮฺ นั่นคือศาสนาอันเที่ยงตรง แต่ส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้" (อัรรูม: 30)

    ประการที่สอง การไว้เครานั้นเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์โดยกมลสันดาน (ฟิฏเราะฮฺ) ดังมีบันทึกจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า: "มีอยู่สิบอย่างที่เป็นสัญชาตญาณโดยกมลสันดานของมนุษย์..." ซึ่งบางส่วนจากที่ท่านกล่าวถึงก็คือ "การเล็มหนวดให้สั้น และไว้เครา" (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 261)

    ประการที่สาม การโกนเคราถือเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติที่ปรากฏในหะดีษเศาะฮีหฺจำนวนมาก ที่สั่งใช้ให้ไว้เครา ซึ่งคำสั่งใช้นั้นโดยหลักแล้วต้องถือเป็นข้อบังคับวาญิบให้ปฏิบัติ ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนให้ตีความเป็นอย่างอื่นได้ อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า:

    ﴿فَلۡيَحۡذَرِ ٱلَّذِينَ يُخَالِفُونَ عَنۡ أَمۡرِهِۦٓ أَن تُصِيبَهُمۡ فِتۡنَةٌ أَوۡ يُصِيبَهُمۡ عَذَابٌ أَلِيمٌ ٦٣﴾ [النور : ٦٣]

    ความว่า: "ดังนั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุหัมมัด) จงระวังตัวเถิดว่าเคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน" (อันนูร: 63)

    และมีบันทึกในเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรียฺและมุสลิม จากท่านอิบนุอุมัร เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:

    «أَنْهِكُوا الشَّوَارِبَ، وَاعْفُوا اللِّحَى» [البخاري برقم 5893، ومسلم برقم 259]

    ความว่า: “พวกท่านจงเล็มหนวดให้สั้น และจงไว้เคราเถิด” (อัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 5893 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 259)

    และมีบันทึกในเศาะฮีหฺมุสลิม จากหะดีษของท่านอิบนุอุมัร เล่าว่า "ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้สั่งใช้ให้ทำการเล็มหนวดและไว้เครา" (หะดีษเลขที่ 259) ท่านอันนะวะวียฺได้กล่าวว่า "หะดีษที่เกี่ยวกับเรื่องการไว้เครานั้นมีอยู่ห้าสำนวนด้วยกัน และทุกๆสำนวนล้วนให้ความหมายไปในทางที่ว่าให้ปล่อยเคราให้ยาว โดยไม่ทำการโกน เล็ม หรือตัดส่วนหนึ่งส่วนใดทั้งสิ้น" (ดู ชัรหฺ อันนะวะวีย์ 2/151)

    ประการที่สี่ การโกนเครานั้นเป็นการเลียนแบบพฤติกรรมของพวกมุชริกีน มะญูสีย์ (โซโรอัสเตอร์) ยะฮูดี และพวกนะศอรอ ดังมีบันทึกในเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรียฺและมุสลิม จากหะดีษของท่านอิบนุอุมัร เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:

    «خَالِفُوا الْمُشْرِكِينَ، وَفِّرُوا اللِّحَى، وَأَحْفُوا الشَّوَارِبَ» [البخاري برقم 5892، ومسلم برقم 259]

    ความว่า: "พวกท่านจงทำให้แตกต่างจากพวกมุชริกีนเถิด จงไว้เคราให้ยาว และจงเล็มหนวดของพวกท่านเสีย" (อัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 5892 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 259)

    และมีบันทึกในเศาะฮีหฺมุสลิมจากท่านอิบนุมัร เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:

    «جُزُّوا الشَّوَارِبَ، وَأَرْخُوا اللِّحَى، خَالِفُوا الْمَجُوسَ» [مسلم برقم 260]

    ความว่า: "พวกท่านจงเล็มหนวด และไว้เครา และจงทำให้แตกต่างจากพวกมะญูสีย์เถิด" (มุสลิม หะดีษเลขที่ 260)

    ทั้งนี้ ก็เพราะพวกมะญูสีย์นั้นจะไว้หนวดยาวและตัดเคราให้สั้น หรือบางคนก็โกนเคราออกทั้งหมด ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงห้ามการกระทำที่เป็นการเลียนแบบชนกลุ่มนี้ มีหะดีษที่รายงานโดยอิบนุญะรีรฺ และอิบนุสะอัด ในหนังสืออัฏเฏาะบะกอต กล่าวถึงเรื่องราวของทูตสองคนของกษัตริย์กิสรอแห่งเปอร์เซีย โดยระบุว่าเมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เห็นคนทั้งสองต่างโกนเคราและไว้หนวดยาว ท่านก็เบี่ยงหน้าหนีด้วยความรู้สึกไม่พอใจ และกล่าวกับคนทั้งสองว่า:

    «وَيْلَكُمَا، مَنْ أَمَرَكُمَا بِهَذَا؟»

    ความว่า: "ความหายนะจงประสบแก่ท่านทั้งสอง! ผู้ใดใช้ให้ท่านทั้งสองทำแบบนี้?"

    เขาทั้งสองตอบว่า "พระเจ้าของเราได้ใช้ให้เราทำ" (หมายถึงกษัตย์กิสรอ) ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวแก่คนทั้งสองว่า:

    «وَلَكِنَّ رَبِّي أَمَرَنِيْ أَنْ أَعْفِيَ لِحْيَتِيْ وَأَنْ أَقُصَّ شَارِبِيْ» [أخرجه ابن جرير 2/266، وابن سعد في الطبقات 1/2/147، وهو حسن، انظر تخريج فقه السيرة (ص359) للألباني والعزو منه.

    ความว่า: "แต่พระเจ้าของฉันใช้ให้ฉันไว้เคราและให้ตัดเล็มหนวด" (อิบนุญะรีรฺ 2/266 และอิบนุสะอัด 1/2/147 เป็นรายงานที่อยู่ในระดับหะสัน ดู ตัครีจญ์ ฟิกฮฺ อัส-สีเราะฮฺ ของอัล-อัลบานีย์ หน้า 359 การอ้างอิงข้างต้นหยิบยกมาจากที่นี่)

    ซึ่งถ้าหากว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตำหนิการกระทำของชายสองคนนี้ ทั้งที่รู้ว่าเขาทั้งสองเป็นมะญูสีย์ผู้ปฏิเสธศรัทธา แน่นอนว่าในกรณีของมุสลิมนั้นย่อมสมควรจะต้องถูกตำหนิมากกว่า

    นอกจากนี้ การไว้เคราก็ยังถือเป็นความสง่างามสำหรับบุรุษด้วยเช่นกัน

    ประการที่ห้า การโกนเครานั้นนอกจากจะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งใช้ของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้ว ยังเป็นพฤติกรรมที่แปลกแยกจากแนวทางของนบีท่านก่อนๆ ตลอดจนบรรดาเคาะลีฟะฮฺ และเศาะหาบะฮฺทั้งหลายด้วย

    อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า:

    ﴿قَالَ يَبۡنَؤُمَّ لَا تَأۡخُذۡ بِلِحۡيَتِي وَلَا بِرَأۡسِيٓۖ إِنِّي خَشِيتُ أَن تَقُولَ فَرَّقۡتَ بَيۡنَ بَنِيٓ إِسۡرَٰٓءِيلَ وَلَمۡ تَرۡقُبۡ قَوۡلِي ٩٤ ﴾ [طه: ٩٤]

    ความว่า: "ฮารูนกล่าวว่า: โอ้ลูกของแม่ฉันเอ๋ย อย่าดึงเคราและศีรษะของฉันสิ แท้จริงฉันกลัวว่าท่านจะกล่าว (แก่ฉัน) ว่า ท่านได้ก่อการแตกแยกขึ้นในหมู่วงศ์วานอิสรออีล และท่านไม่ฟังคำสั่งของฉัน" (ฏอหา: 94)

    อัชชันกีฏียฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า: "ถ้านำอายะฮฺข้างต้นไปพิจารณาร่วมกับอายะฮฺในสูเราะฮฺอัลอันอาม ที่อัลลอฮฺได้ตรัสถึงนบีทั้งหลาย และหลังจากนั้นพระองค์ตรัสกับนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า:

    ﴿ أُوْلَٰٓئِكَ ٱلَّذِينَ هَدَى ٱللَّهُۖ فَبِهُدَىٰهُمُ ٱقۡتَدِهۡۗ ٩٠ ﴾ [الانعام: ٩٠]

    ความว่า: "ชนเหล่านี้ คือผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงให้ทางนำแก่พวกเขา ดังนั้นเจ้าจงเจริญรอยตามพวกเขาเถิด" (อัลอันอาม: 90)

    ก็จะเป็นข้อบ่งชี้ที่แสดงว่าการไว้เครานั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติ และนี่คือหลักฐานจากอัลกุรอาน

    ซึ่งการไว้เครานั้นถือเป็นรูปลักษณ์อันสง่างามและเป็นคำสั่งใช้ที่มีระบุไว้ในอัลกุรอาน และยังเป็นรูปลักษณ์ของบรรดาเราะสูลทุกท่านด้วย

    จึงเป็นที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่รสนิยมของบรรดาบุรุษในสังคมสมัยนี้กลับผิดเพี้ยนตกต่ำไป โดยพวกเขาพยายามที่จะหลีกหนีออกห่างจากลักษณะที่บ่งบอกถึงความเป็นชาย แล้วหันไปทำตัวเยี่ยงสตรีด้วยการโกนหนวดเคราจนใบหน้าดูเกลี้ยงเกลาสดใส ทำให้นับวันความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรีซึ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือเคราค่อยๆเลือนหายไปเรื่อยๆ

    ทั้งนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้นเป็นผู้ที่มีเคราที่หนามาก และในขณะเดียวกันท่านก็ยังเป็นผู้ที่ดูดีและมีความหล่อเหลามากที่สุด นอกจากนี้เราจะเห็นว่าบรรดาบุรุษผู้กล้าซึ่งพิชิตเปอร์เซียและโรมได้สำเร็จ และเป็นผู้ที่ปกครองโลกตะวันออกและตะวันตกอย่างยิ่งใหญ่นั้น ก็ไม่มีผู้ใดโกนเคราเลย เราวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ให้ทรงชี้นำเราและพี่น้องผู้ศรัทธาสู่หนทางแห่งสัจธรรม และให้หลีกห่างจากความเท็จความบิดเบือนทั้งปวงด้วยเถิด" (ดู หนังสืออัฎวาอุลบะยาน 3/64)

    มีบันทึกในเศาะฮีหฺมุสลิม จากท่านญาบิรฺ บิน สะมุเราะฮฺ กล่าวว่า: "ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นผู้ที่มีเคราหนามาก" (ส่วนหนึ่งจากหะดีษเลขที่ 2344)

    และในเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรียฺ จากท่านอบูมะอฺมัร เล่าว่า: พวกเราได้ถามท่านค็อบบาบว่า ในละหมาดดุฮรฺและอัศรฺ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อ่านอะไรหรือไม่? เขาตอบว่า: "ท่านอ่าน" เราจึงถามว่า: ท่านทราบได้อย่างไร? เขาตอบว่า: "เราทราบจากการที่เคราของท่านเคลื่อนไหว" (หะดีษเลขที่ 746)

    และนี่ถือเป็นหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไว้เครายาวและไม่เคยตัดหรือโกนเคราเลย เช่นเดียวกับบรรดาเศาะหาบะฮฺในยุคนั้นทั้งหมดก็ไม่เคยมีผู้ใดโกนเครา

    อาจมีคนบางกลุ่มกล่าวกับเราเมื่อเราตักเตือนเขาในเรื่องการโกนเครา ว่าการศรัทธานั้นอยู่ที่ใจ ไม่เกี่ยวอะไรกับการไว้เคราเลย และก็มีผู้คนมากมายที่เขาไม่ได้ไว้เคราแต่เขาก็ทำงานรับใช้อิสลามและพี่น้องมุสลิม ตรงกันข้ามกับบางคนด้วยซ้ำที่ไว้เคราเสียยาว แต่กลับทำสิ่งที่บกพร่องมากมาย?

    ซึ่งเราก็อาจตอบได้ว่า แท้จริงผู้ศรัทธานั้นจำเป็นจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ และเราะสูลของพระองค์

    ดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า:

    ﴿قُلۡ إِن كُنتُمۡ تُحِبُّونَ ٱللَّهَ فَٱتَّبِعُونِي يُحۡبِبۡكُمُ ٱللَّهُ وَيَغۡفِرۡ لَكُمۡ ذُنُوبَكُمۡۚ وَٱللَّهُ غَفُورٞ رَّحِيمٞ ٣١ ﴾ [آل عمران: ٣١]

    ความว่า: "จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮฺก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ" (อาลอิมรอน: 31)

    และท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

    «مَا نَهَيْتُكُمْ عَنْهُ فَاجْتَنِبُوهُ، وَمَا أَمَرْتُكُمْ بِهِ فَافْعَلُوْا مِنْهُ مَا اسْتَطَعْتُمْ» [البخاري برقم 7288، ومسلم برقم 1337]

    ความว่า: "สิ่งใดที่ฉันได้ห้ามพวกท่าน พวกท่านก็จงออกห่างเถิด และสิ่งใดที่ฉันได้กำชับใช้พวกท่านนั้น พวกท่านก็จงปฏิบัติตามที่พวกท่านสามารถเถิด" (บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 7288 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 1337)

    ซึ่งความเคลือบแคลงสงสัยของพวกเขานี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง และถ้าเราคิดโดยใช้ตรรกะเช่นนั้น ก็คงจะต้องละทิ้งคำสั่งใช้และข้อห้ามมากมายที่เป็นบทบัญญัติศาสนา

    ทั้งนี้ แก่นแท้ของการศรัทธานั้นต้องประกอบด้วยการเปล่งวาจา การเชื่อมั่นด้วยใจ และการปฏิบัติด้วยร่างกาย ดังนั้น การเชื่อด้วยใจเพียงอย่างเดียวโดยจึงไม่เพียงพอ แต่ต้องมีการปฏิบัติด้วย

    อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า:

    ﴿ وَقُلِ ٱعۡمَلُواْ فَسَيَرَى ٱللَّهُ عَمَلَكُمۡ وَرَسُولُهُۥ وَٱلۡمُؤۡمِنُونَۖ وَسَتُرَدُّونَ إِلَىٰ عَٰلِمِ ٱلۡغَيۡبِ وَٱلشَّهَٰدَةِ فَيُنَبِّئُكُم بِمَا كُنتُمۡ تَعۡمَلُونَ ١٠٥ ﴾ [التوبة: ١٠٥]

    ความว่า: "จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ว่า: พวกท่านจงทำงานเถิด แล้วอัลลอฮฺจะทรงเห็นการงานของพวกท่าน และเราะสูลของพระองค์และบรรดามุอ์มินก็จะเห็นด้วย และพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านในสิ่งที่พวกท่านทำไว้” (อัตเตาบะฮฺ: 105)

    والحمد لله رب العالمين،

    وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين.

    หมวดหมู่