وقفة مع سورة الماعون

أعرض المحتوى باللغة الأصلية anchor

translation ผู้เขียน : อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์
1

หนึ่งบททบทวนกับสูเราะฮฺอัล-มาอูน

331.7 KB PDF
2

หนึ่งบททบทวนกับสูเราะฮฺอัล-มาอูน

630.5 KB DOC

كلام موجز في تفسير سورة الماعون، ذكر ما يستفاد من هذه السورة من الصفات المذمومة التي يجب على المسلم تركها وتجنبها، وهي مقالة مختصرة مقتبسة من كتاب الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة للشيخ الدكتور أمين بن عبدالله الشقاوي

    หนึ่งบททบทวน กับสูเราะฮฺ อัล-มาอูน

    ﴿وقفة مع سورة الماعون﴾

    ] ไทย – Thai – تايلاندي [

    ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

    แปลโดย : รีมา เพชรทองคำ

    ผู้ตรวจทาน : อัสรัน นิยมเดชา

    ที่มา : หนังสือ อัด-ดุร็อรฺ อัล-มุนตะกอฮฺ มิน อัล-กะลีมาต อัล-มุลกอฮฺ

    2011 - 1432

    ﴿وقفة مع سورة الماعون﴾

    « باللغة التايلاندية »

    د. أمين بن عبدالله الشقاوي

    ترجمة: ريما بيتونكام

    مراجعة: عصران نئ يوم ديشا

    المصدر: كتاب الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة

    2011 - 1432

    ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

    หนึ่งบททบทวน กับสูเราะฮฺ อัล-มาอูน

    มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล ขอความสุขความจำเริญและความสันติจงประสบแด่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนวงศ์วานและมิตรสหายของท่านโดยทั่วกัน ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่า มุหัมมัดเป็นบ่าวของพระองค์อัลลอฮฺและเป็นศาสนทูตของพระองค์

    สูเราะฮฺหนึ่งจากสูเราะฮฺทั้งหลายของอัลกุรอาน ที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่บ่อยๆ และจำเป็นที่เราจะต้องพิจารณาใคร่ครวญในความหมาย ก็คือสูเราะฮฺอัล-มาอูน

    อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ตรัสว่า

    ﭽ ﭦ ﭧ ﭨ ﭩ ﭪ ﭫ ﭬ ﭭ ﭮ ﭯ ﭰ ﭱ ﭲ ﭳ ﭴ ﭵ ﭶ ﭷ ﭸ ﭹ ﭺ ﭻ ﭼ ﭽ ﭾ ﭿ ﮀ ﮁ ﮂ ﮃ ﮄ ﮅ ﭼ (الماعون : 1-7)

    ความว่า “เจ้าเห็นผู้ที่ปฏิเสธการตอบแทนแล้วมิใช่หรือ (1) นั่นก็คือผู้ที่ขับไล่เด็กกำพร้า (2) และไม่สนับสนุนให้อาหารแก่ผู้ขัดสน (3) ดังนั้นความหายนะจงมีแด่บรรดาผู้ทำละหมาด (4) ผู้ซึ่งพวกเขาละเลยต่อการละหมาดของพวกเขา (5) ผู้ซึ่งพวกเขาโอ้อวดกัน (6) (และพวกเขาหวงแหนเครื่องใช้เล็กๆน้อยๆ (7) (อัล-มาอูน 1-6)

    คำตรัสของพระองค์อายะฮฺแรก

    ﭽ ﭦ ﭧ ﭨ ﭩ ﭪ ﭼ

    ความว่า “เจ้าเห็นผู้ที่ปฏิเสธการตอบแทนแล้วมิใช่หรือ”

    คือ โอ้มุหัมมัด เจ้าเห็นผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อการตอบแทน ไม่เชื่อในรางวัลและการลงโทษ แล้วใช่หรือไม่ ..บางคนกล่าวว่า เป็นคำสื่อสารถึงทุกคนทั่วไปที่อ่านอายะฮฺไม่ใช่เฉพาะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม.. และบรรดาผู้ไม่ศรัทธา ก็คือบรรดาผู้ที่ผู้ที่ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพ

    ﭽ ﯶ ﯷ ﯸ ﯹ ﯺ ﯻ ﯼ ﯽ ﯾ ﯿ ﭼ (الواقعة : 47)

    ความว่า “และพวกเขาเคยกล่าวว่า เมื่อเราตายไปแล้วและเราได้กลายเป็นดินผงและกระดูกป่น เราจะถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกกระนั้นหรือ” (อัล-วากิอะฮฺ 47)

    และมีบางคนจากบรรดาผู้ปฏิเสธกล่าวว่า

    ﭽ ﮚ ﮛ ﮜ ﮝ ﮞ ﮟ ﮠ ﭼ (يس : 78)

    ความว่า “เขากล่าวว่า “ใครเล่าจะให้กระดูกมีชีวิตขึ้นมาอีกในเมื่อมันเป็นผุยผงไปแล้ว” (ยาสีน 78)

    คำตรัสของพระองค์อายะฮที่สอง

    ﭽ ﭫ ﭬ ﭭ ﭮ ﭯ ﭼ

    ความว่า “นั่นก็คือผู้ที่ขับไล่เด็กกำพร้า”

    คือ ผู้ที่บังคับ ขู่เข็ญ ละเมิดต่อสิทธิ ไม่ให้อาหาร และไม่ปฏิบัติดีต่อเด็กกำพร้า และเด็กกำพร้าคือผู้ที่พ่อของเขาเสียชีวิตและเขายังเป็นผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ ไม่ว่าจะเป็นเด็กชายหรือหญิงก็ตาม

    คำตรัสของพระองค์อายะฮฺที่สาม

    ﭽ ﭰ ﭱ ﭲ ﭳ ﭴ ﭵ ﭼ

    ความว่า “และไม่สนับสนุนให้อาหารแก่ผู้ขัดสน”

    คือ ผู้ที่ไม่ช่วยเหลือให้อาหารคนขัดสน เนื่องด้วยความตระหนี่ถี่เหนียวของเขา หรือเนื่องด้วยการปฏิเสธการตอบแทนในโลกหน้าของเขา ดังที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ตรัสว่า:

    ﭽ ﮪﮫ ﮬ ﮭ ﮮ ﮯ ﮰ ﮱ ﯓ ﯔ ﯕ ﯖ ﯗ ﭼ (الفجر : 17-18)

    ความว่า ”มิใช่เช่นนั้นดอก แต่ทว่าพวกเจ้ามิได้ให้เกียรติแก่เด็กกำพร้า*และพวกเจ้ามิได้ส่งเสริมกันในการให้อาหารแก่คนยากจนขัดสน” (อัลฟัจญ์รฺ 17-18)

    คำตรัสของพระองค์อายะฮฺที่สี่ และห้า

    ﭽ ﭶ ﭷ ﭸ ﭹ ﭺ ﭻ ﭼ ﭽ ﭾ ﭼ

    ความว่า “ดังนั้นความหายนะจงมีแด่บรรดาผู้ทำละหมาด ผู้ซึ่งพวกเขาละเลยต่อการละหมาดของพวกเขา”

    ความหายนะ ความวิบัติ คือ การลงโทษนั้นจะประสบแก่พวกเขา นักตัฟสีรบางคนได้กล่าวว่า พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ทำการละหมาดล่าช้า พวกเขาจะละหมาดเมื่อเวลาได้ผ่านล่วงและหมดเวลาละหมาดนั้นๆไปแล้ว

    ท่านอบูยะอฺลาได้รายงานในหนังสือมุสนัดของท่าน จากหะดีษมุศอับ บิน สะอัด จาก -พ่อของเขา- สะอัด บิน อบีวักกอศ ได้กล่าวว่า ฉันได้กล่าวแก่พ่อของฉันว่า “โอ้คุณพ่อ ท่านเห็นดำรัสของอัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา อายะฮฺนี้หรือไม่

    ﭽ ﭹ ﭺ ﭻ ﭼ ﭽ ﭾ ﭼ

    ความว่า “ผู้ซึ่งพวกเขาละเลยต่อการละหมาดของพวกเขา”

    แล้วใครในหมู่พวกเราบ้างล่ะที่จะไม่หลงลืม” คุณพ่อก็ตอบว่า “ไม่ใช่เช่นนั้นลูกเอ๋ย แต่ทว่า คือการทำให้เวลาล่วงเลย เพิกเฉยต่อเวลาละหมาด จนกระทั่งหมดเวลาไป” (เล่ม1/336 หะดีษที่700), (และอัล-มุนซิรียฺกล่าวไว้ในหนังสืออัต-ตัรฆีบวัต-ตัรฮีบ เล่ม1/441 สายรายงานหะซัน)

    อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ตรัสว่า

    ﭽ ﮧ ﮨ ﮩ ﮪ ﮫ ﮬ ﮭ ﮮﮯ ﮰ ﮱ ﯓ ﯔﭼ (مريم : 59)

    ความว่า “แล้วชนรุ่นชั่วก็ได้สืบต่อมาภายหลังจากพวกเขา พวกเขาได้ทิ้งละหมาด และปฏิบัติตามความใคร่ ต่อมาพวกเขาก็จะประสบความหายนะ” (มัรยัม 59)

    บางคนได้กล่าวว่า พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ละทิ้งละหมาด ไม่ยอมทำการละหมาด มีรายงานว่าท่านอิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า พวกเขาคือพวกมุนาฟิกีน (พวกสับปลับ หน้าไหว้หลังหลอก เบื้องหน้าปฏิบัติตนเป็นมุสลิม เบื้องหลังเป็นผู้ปฏิเสธ) พวกเขาจะละทิ้งละหมาดเมื่ออยู่ลับตาคน(เมื่อไม่มีคนเห็น) และจะทำการละหมาดเมื่อยู่ในที่เปิดเผย(ทำอย่างโอ้อวด) (ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม4/557)

    อิบนุกะษีร กล่าวว่า คือบรรดาผู้ที่ทำการละหมาดล่าช้าอยู่เป็นประจำ หรือบ่อยๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า คือผู้ที่บกพร่องในการทำละหมาด บกพร่องต่อรุก่น เงื่อนไขของการละหมาด ทำการละหมาดอย่างไม่สมบูรณ์ตามแบบบัญญัติ หรือบกพร่องในการคุชัวอฺ และการพิจารณาความหมายของคำต่างๆในการละหมาด และอายะฮฺนี้ก็รวมทุกลักษณะที่กล่าวมาไว้ทั้งหมด และผู้ใดที่มีลักษณะหนึ่งลักษณะใดจากลักษณะที่กล่าวมา เขาก็รับเศษเสี้ยวหนึ่งของอายะฮฺนี้ และใครที่มีลักษณะดังกล่าวทั้งหมด เขาก็รับอายะฮฺนี้ไปเต็มๆ และเป็นมุนาฟิกในทางปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แบบ ดังหะดีษในเศาะหีหฺมุสลิม จากอนัส บินมาลิก แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:

    «تِلْكَ صَلاَةُ الْمُنَافِقِ ، يَجْلِسُ يَرْقُبُ الشَّمْسَ حَتَّى إِذَا كَانَتْ بَيْنَ قَرْنَيِ الشَّيْطَانِ ، قَامَ فَنَقَرَهَا أَرْبَعًا ، لاَ يَذْكُرُ اللَّهَ فِيهَا إِلاَّ قَلِيلاً»

    ความว่า “นั่นคือการละหมาดของมุนาฟิก (ละหมาดอัศรฺล่าช้า โดยไม่มีสาเหตุ) เขาจะนั่งรอดวงอาทิตย์ จนกระทั่งดวงอาทิตย์อยู่ระหว่างเขาทั้งสองของชัยฏอน (เวลาดวงอาทิตย์กำลังตก หรือกำลังขึ้น แสดงให้เห็นว่าเขาจะรอคอยจนกระทั่งใกล้หมดเวลา และเวลานี้เป็นเวลาที่พวกกุฟฟารทำการสุญูดต่อดวงอาทิตย์ – ผู้แปล) เขาก็ลุกขึ้น แล้วก็ผงกๆจิกๆ สี่ครั้ง (ละหมาดอัศรฺ 4 ร็อกอะฮฺ อย่างเร่งรีบแบบนกจิก – ผู้แปล) โดยไม่รำลึกถึงอัลลอฮฺยกเว้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” (มุสลิม หน้า 246/ หะดีษที่ 266)

    คือเวลาที่ไม่ชอบให้ทำการละหมาด (ขณะดวงอาทิตย์ขึ้น และตก) พวกเขาจะยืนขึ้นทำการละหมาด และจิกๆ แบบนกกา ไม่สงบนิ่ง ไม่ยำเกรง (ไม่มีเฏาะมะอ์นีนะฮฺ และไม่มีคุชัวอฺ) มีการรำลึกถึงอัลลอฮฺในละหมาดนั้นแค่เพียงน้อยนิด เหตุที่พวกเขาทำการยืนละหมาดก็เพียงเพราะจะให้มนุษย์เห็นเท่านั้น ไม่ใช่เพราะหวังความเมตตาโปรดปรานใดๆจากอัลลอฮฺ และการละหมาดเช่นนั้นก็มีค่าเท่ากับการไม่ละหมาดเลยโดยสิ้นเชิง อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ตรัสว่า:

    ﭽ ﭸ ﭹ ﭺ ﭻ ﭼ ﭽ ﭾ ﭿ ﮀ ﮁ ﮂ ﮃ ﮄ ﮅ ﮆ ﮇ ﮈ ﮉ ﮊ ﮋ ﭼ (النساء : 142)

    ความว่า “แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นกำลังหลอกลวงอัลลอฮฺอยู่ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงหลอกลวงพวกเขา และเมื่อพวกเขาลุกขึ้นไปละหมาด พวกเขาก็ลุกขึ้นในสภาพเกียจคร้านโดยให้ผู้คนเห็นเท่านั้น และพวกเขาจะไม่กล่าวรำลึกพึงอัลลอฮฺ นอกจากเล็กน้อยเท่านั้น” (อัน-นิสาอ์ 142)

    และพระองค์ตรัสในสูเราะฮฺนี้ว่า

    ﭿ ﮀ ﮁ ﮂ

    ความว่า ”ผู้ซึ่งพวกเขาโอ้อวดกัน”

    คำตรัสของพระองค์อายะฮฺหก และเจ็ด

    ﭽ ﭿ ﮀ ﮁ ﮂ ﮃ ﮄ ﮅ ﭼ

    ความว่า “ผู้ซึ่งพวกเขาโอ้อวดกัน และพวกเขาหวงแหนเครื่องใช้เล็กๆน้อยๆ”

    คือ พวกเขาไม่ปฏิบัติความดีต่อพระเจ้า โดยการไม่เคารพสักการะพระเจ้าของพวกเขาด้วยความอิคลาศบริสุทธิ์ใจ และไม่ปฏิบัติดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ยอมให้ยืมสิ่งใช้สอยเล็กๆน้อยๆ และไม่ให้ความช่วยเหลือคนอื่นถึงแม้จะเป็นสิ่งถูกยืมแล้วยังนำกลับคืนมาใช้ต่อได้ เช่น ภาชนะ กะละมัง ถัง ขวาน คนเหล่านี้นั้น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้พวกเขายังตระหนี่และจะประสาอะไรกับการออกซะกาต และการจ่ายในหนทางของอัลลอฮฺ แน่นอนว่าพวกเขาจะยิ่งหวงแหนยิ่งกว่า

    สิ่งที่ได้รับจากสูเราะฮฺนี้

    หนึ่ง สนับสนุนและส่งเสริมให้ทำการให้อาหารแก่เด็กกำพร้า และผู้ขัดสน อัล-บุคอรียฺได้รายงานในเศาะหีหฺของเขา จากหะดีษของ สะฮฺล์ บิน สะอัด แท้จริง ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า:

    «أنَا وكافِلُ اليَتِيمِ في الجَنَّةِ هكَذا»

    ความว่า “ฉันและผู้อุปการะเลี้ยงดูเด็กกำพร้า จะอยู่เช่นนี้ในสวรรค์” แล้วท่านก็ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางของท่าน (สถานะในวันกิยามะฮฺใกล้กันดังเช่นนิ้วชี้และนิ้วกลาง-ผู้แปล) (อัล-บุคอรียฺ หน้า1163/ หะดีษที่ 6005)

    และอีกหะดีษหนึ่ง รายงานโดยอัล-บุคอรียฺ และมุสลิม ในเศาะหีหฺของทั้งสอง จากหะดีษอบีฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:

    «الساعي على الأَرْمَلَةِ والمِسكين كَالمُجاهِدِ في سَبيلِ الله»

    ความว่า “ผู้ที่ช่วยเหลือหญิงหม้าย และคนขัดสนยากจน เขาเป็นดังเช่นผู้ที่ต่อสู้ไปในหนทางของอัลลอฮฺ” และฉันคิดว่าท่านกล่าวต่ออีกว่า “และเขาเป็นดั่งเช่นผู้ยืนละหมาดทั้งคืน และผู้ที่ศีลอดทั้งวัน” (อัล-บุคอรียฺ หน้า1164/ หะดีษที่ 6007 และมุสลิม หน้า1195/ หะดีษที่ 2982)

    สอง ส่งเสริมและกระตุ้นให้ทำการละหมาดตรงเวลา อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ตรัสว่า

    ﭽ ﮣ ﮤ ﮥ ﮦ ﮧ ﮨ ﮩ ﮪ ﭼ (النساء : 103)

    ความว่า ”แท้จริงการละหมาดนั้นเป็นบัญญัติที่ถูกกำหนดเวลาไว้แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย” (อัน-นิสาอ์ 103)

    อัล-บุคอรียฺ และมุสลิมรายงานไว้ในเศาะหีหฺของทั้งสอง จากหะดีษของอับดุลลอฮฺ บิน มัสอูด ได้กล่าวว่า:

    سألتُ النبي صلى الله عليه وسلم : أي العمل أحبُ إلى الله؟ قال : «الصلاة على وقتها»

    ความว่า “ฉันได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า การงานใดที่เป็นที่รักยิ่ง ณ ที่อัลลอฮฺ” ท่านตอบว่า “การละหมาดตรงต่อเวลา” (อัล-บุคอรียฺ หน้า121/ หะดีษที่ 527, มุสลิม หน้า 62/ หะดีษที่ 75)

    สาม ส่งเสริมให้ปฏิบัติความดีต่างๆ และสนับสนุนให้เสียสละทรัพย์สินเล็กๆน้อยๆ เช่นการให้ยืมภาชนะ ถัง กะละมัง หนังสือ ขวาน เป็นต้น เพราะอัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ทรงตำหนิติเตียนผู้ไม่ปฏิบัติเช่นดังกล่าว

    อัล-บุคอรียฺได้รายงานไว้ในเศาะหีหฺของท่าน จากหะดีษอิบนุอุมัร เล่าว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:

    «أَرْبَعونَ خصْلَة أَعلاهُنَ مَنِيحة العنزِ مَا مِنْ عَامِلٍ يَعْمَلُ بِخَصْلَةٍ مِنْها رَجاءَ ثَوابَها وَتَصْدِيقَ مَوعُودِها إلا أَدْخَلَهُ الله بها الجنةَ»

    ความว่า “ความดี 40 ประการ ที่ดีที่สุดคือการให้ปศุสัตว์ที่มีนม (ให้ผู้อื่นยืมปศุสัตว์ที่รีดนมได้ เพื่อให้ผู้อื่นได้ประโยชน์จากนมนั้น และคืนสัตว์นั้นให้เจ้าของ – ผู้แปล) ไม่มีผู้ใดที่ทำประการหนึ่งในนั้น โดยหวังผลตอบแทน และเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกสัญญาไว้ นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา จะทรงให้เขาได้เข้าสวรรค์” (อัล-บุคอรี หน้า 497/ หะดีษที่ 2631)

    ท่านหัสสานได้กล่าวว่า เราได้นับสิ่งที่นอกเหนือจากการให้ปศุสัตว์ เช่นการตอบรับสลาม การดุอาอ์ให้คนจาม การขจัดภัยอันตรายให้พ้นจากถนนหนทาง เป็นต้น แต่ทว่าเราไม่สามารถนับได้ถึง15 ประการเลย (หน้า397)

    สี่ ส่งเสริมให้มีความอิคลาศบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺในการปฏิบัติการงาน และเตือนให้ระวังและออกห่างจากการโอ้อวด และการทำเพื่อชื่อเสียงหน้าตา ดังที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ตรัสเกี่ยวกับบรรดามุอ์มินีนว่า

    ﭽ ﭡ ﭢ ﭣ ﭤ ﭥ ﭦ ﭧ ﭨ ﭩ ﭪ ﭫ ﭬ ﭭ ﭮ ﭯ ﭰ ﭱ ﭲ ﭳ ﭼ (الإنسان : 8-9)

    ความว่า “และพวกเขาให้อาหารเนื่องด้วยความรักต่อพระองค์แก่คนยากจน เด็กกำพร้าและเชลยศึก (พวกเขากล่าวว่า) แท้จริงเราให้อาหารแก่พวกท่าน โดยหวังความโปรดปรานของอัลลอฮฺ เรามิได้หวังการตอบแทนและการขอบคุณจากพวกท่านแต่ประการใด” (อัล-อินสาน 7-9)

    และได้มีรายงานจาก อัล-บุคอรียฺ และมุสลิม จากหะดีษญุนดุบ เล่าว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:

    «مَنْ سَمَّعَ سمَّعَ اللهُ به ومن يُرائي يرائي اللهُ به»

    ความว่า “ผู้ใดประกาศ (การงานของเขา) อัลลอฮฺก็จะทรงประกาศเขา และผู้ใดโอ้อวด (การงานของเขา) อัลลอฮฺก็จะทรงให้เห็นถึงความโอ้อวดของเขา” (อัล-บุคอรียฺ 6499 และมุสลิม 2987)

    หมายความว่า ใครที่ทำเพื่อชื่อเสียง อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ก็จะประจานเขา และจะทรงทำให้ผู้คนรู้ว่า คนๆนี้ไม่มีความอิคลาศต่ออัลลอฮฺ ที่เขาทำอิบาดะฮฺนั้นเพียงเพราะว่าอยากจะให้มนุษย์ชมเชยเขา ยกย่องเขา และใครที่ทำเพื่อโอ้อวด อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ก็จะประจานเขา และจะให้ผู้คนรู้ว่าเขานั้นต้องการจะโอ้อวด ไม่มีความจริงใจต่อัลลอฮฺ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วผู้คนก็จะรู้ถึงความไม่บริสุทธิ์ใจของเขา

    والحمد لله رب العالمين، وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين

    หมวดหมู่