ปัญหาการซินา(การผิดประเวณี)ในมุมมองอิสลาม
หมวดหมู่
Full Description
ปัญหาการผิดประเวณีในมุมมองอิสลาม
﴿خطورة الزنا في المنظور الإسلامي﴾
] ไทย – Thai – تايلاندي [
ทีมงานภาษาไทย เว็บไซต์อิสลามเฮ้าส์
ผู้ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน
2010 - 1431
﴿خطورة الزنا في المنظور الإسلامي﴾
« باللغة التايلاندية »
فريق اللغة التايلاندية موقع دار الإسلام
مراجعة: صافي عثمان
2010 - 1431
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
ปัญหาการผิดประเวณีในมุมมองอิสลาม
พี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาทุกท่าน
ขอสดุดีสรรเสริญเอกองค์อัลลอฮฺ องค์ผู้อภิบาลที่ได้ชี้นำให้แก่เราซึ่งแนวทางแห่งศาสนาอิสลาม ระบอบการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์และครอบคลุมทุกแง่มุมของการดำเนินชีวิต ศาสนาอันมีเป้าประสงค์หลักของศาสนบัญญัติเพื่อพิทักษ์ปกป้องรากฐานห้าประการของชีวิตมนุษย์ อันได้แก่ ศาสนา ชีวิต ทรัพย์สิน สติปัญญา และเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์ บัญญัติทุกบทของอิสลามได้มุ่งหมายเพื่อรักษาและพิทักษ์ปกป้องรากฐานทั้งห้าประการนี้
อิสลามได้วางมาตราการต่างๆ เพื่อดูแลปัจจัยหลักทั้งห้านี้ อาทิ ห้ามไม่ให้มนุษย์ตั้งภาคีต่อพระเจ้าเพื่อปกป้องฐานแห่งศาสนา ห้ามไม่ให้มีการฆ่าฟันกันเองเพื่อปกป้องชีวิต ห้ามไม่ให้มีการลักขโมยเพื่อปกป้องทรัพย์สิน ห้ามไม่ให้เสพของมึนเมาเพื่อปกป้องสติปัญญา และสุดท้ายก็ปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของเชื้อสายวงศ์ตระกูลด้วยการห้ามผิดประเวณี
นอกจากนี้ อิสลามยังได้กำหนดบทลงโทษต่างๆ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนและมุ่งทำลายความมั่นคงของหลักทั้งห้าดังกล่าว เพื่อเป็นการประกันและตอกย้ำถึงความสำคัญของมันให้มากขึ้นไปอีก
พี่น้องครับ ...
ทุกวันนี้ เราได้ยินได้เห็นข่าวที่ออกมาตามสื่อต่างๆ ที่พูดถึงปัญหาสังคมในยุคปัจจุบัน ทั้งปัญหาอาชญากรรม เยาวชนผิดศีลธรรม เมายา ทำแท้ง และปัญหาอื่นๆ ที่คล้ายกัน ซึ่งนับวันดูจะระบาดมากขึ้น และมีระดับความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นไปด้วย มันก่อให้เกิดความหดหู่ใจว่าอนาคตของลูกหลานเราต่อไปจะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าสภาพเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ และดูท่าว่าจะไม่มีทางคลี่คลายได้ในระยะเวลาอันใกล้ เพราะแม้แต่หน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนก็ต่างพากันปวดเศียรเวียนเกล้าและหมดปัญญาที่จะขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้โดยง่าย
ขอยกกรณีเรื่องการผิดประเวณีหรือการซินาเป็นตัวอย่างว่ามันรุนแรงและส่งผลกระทบที่เสียหายต่อมนุษย์มากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ ถ้าหากได้ศึกษาข้อมูลและสถิติต่างๆ เกี่ยวกับปัญหานี้เราจะได้เห็นสิ่งที่น่าตกใจมาก เช่น
- สถิติคนติดเอดส์ทั่วโลกนาทีละ 40 คน [1]
- เฉพาะในภูมิภาคอาเซียน (14 ประเทศ) มีคนติดเอดส์มากถึง 40 ล้านกว่าคน (ข้อมูลปี 2007)[2]
- ประเทศไทยเคยต้องใช้งบประมาณถึง 400 ล้านบาทเพื่อรณรงค์เรื่องโรคเอดส์ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จจนต้องออกมายอมรับว่าประเทศเราล้มเหลวและเลิกสนับสนุน โดยหั่นงบเหลือแค่ 20 ล้านบาทต่อปี[3]
- วัดพระบาทน้ำพุมีคนรอจองคิวเพื่อเข้ารับการรักษาเอดส์มากถึง 25,000 ราย ต้องหาค่าใช้จ่ายถึงเดือนละมากกว่า 5 ล้านบาทเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยเหล่านี้[4]
- มากกว่า 80% ของโรคเอดส์มาจากการมีเพศสัมพันธ์ และโรคเอดส์ยังเป็นโรคอันดับแรกที่คร่าชีวิตคนไทยและทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน[5]
- ผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉพาะประเทศไทยเฉลี่ยปีละ 17,000 คน ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน และเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมีแนวโน้มการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในอายุช่วงวัยต่ำลงมาเรื่อยๆ คือ จากเดิมเริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุ 18-19 ปี แล้วลดลงมาที่ 16-17 ปี จนปัจจุบันอายุสิบกว่าปีก็เริ่มมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว และเห็นชัดเจนว่าสถิติการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ[6]
พี่น้องที่ศรัทธาแล้วทั้งหลาย ...
นี่เป็นเพียงข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่เรายกมาเป็นตัวอย่าง ณ ที่นี้เท่านั้น ไม่นับสถิติและตัวเลขอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านี้ซึ่งอีกมากมาย เช่น กรณีการข่มขืนที่เกิดขึ้น การขายบริการในรูปแบบต่างๆ การทำแท้ง ท้องไม่มีพ่อ และอื่นๆ ซึ่งเป็นข่าวปกติประจำวันที่ไม่ได้ห่างไกลจากการรับรู้และเข้าถึงของสังคมอย่างเราๆ แต่อย่างใดเลย
ถ้าถามว่า เรื่องที่น่าอันตรายเหล่านี้เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างไร ? คำตอบก็คือไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกวันนี้แทบจะพูดได้เลยว่าสังคมเราสอบตกในเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรมไปแล้ว ลองมองและสังเกตดูสภาพรอบๆ ข้างก็จะเห็นได้เลยว่า ภูมิคุ้มกันด้านศีลธรรมในสังคมปัจจุบันแทบจะไม่เหลือเลย เนื้อแท้ของสภาพปัจจุบันก็คือ สังคมที่เต็มไปด้วยอบายมุขทุกหย่อมหญ้า และโดนกันหมดเกือบทุกคนทุกระดับชั้น (วัลอิยาซุบิลลาฮฺ มินซาลิก)
เมื่ออบายมุขต่างๆ กลายเป็นความชอบธรรม หรือบางทีก็อาจจะกลายเป็นความจำเป็นไปแล้วสำหรับคนบางพวก หรือไม่ก็เป็นผลประโยชน์ เป็นธุรกิจ เป็นรายได้ เป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจ เป็นอุตสาหกรรม เป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในของใช้และสิ่งบริโภค ฯลฯ เช่นนี้แล้วจะให้เรารอดพ้นจากปัญหาคุกคามเหล่านี้ได้อย่างไรกัน
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวในหะดีษบทหนึ่งว่า
“ส่วนหนึ่งของสัญญาณวันกิยามะฮฺคือ ความรู้จะอันตรธานหายไป ความเขลาจะหยั่งลึก มีการดื่มเหล้า และมีการกระทำซินาอย่างเปิดเผย” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ เลขที่ 80,มุสลิม เลขที่ 6956)
“ท่ามกลางสังคมอันฟอนเฟะในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าอบายมุขได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของสังคมมนุษย์โดยส่วนใหญ่ ซึ่งส่อเจตนาอย่างทระนงที่จะสวนทางกับคำสอนของศาสนาและศีลธรรมอันดีงาม ถือเป็นภาพสะท้อนถึงชัยชนะของลัทธิบูชาอารมณ์ และการครอบงำของแนวทางปฏิเสธศาสนาหรือพวกปฏิเสธพระเจ้า ที่กำลังคืบคลานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในสังคมปัจจุบัน ไม่เว้นแม้กระทั่งสังคมมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่หลายของอัปรีย์กิริยาที่มีชื่อว่าซินา (การผิดประเวณี)
“วาทกรรมแห่งชัยฏอนได้บรรเลงปลุกเร้าให้ผู้คนใฝ่ซินาและได้รับการโหมโรงจากทุกฝ่ายและสื่อบางแขนง อาทิ “ยืดอกพกถุง” “พร้อมมี sex หรือ sex เมื่อพร้อม” “ไม่ใช่แฟนแต่มากกว่าเพื่อน” “มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย” “ซุกซนอย่างรู้เท่าทัน” ฯลฯ ซึ่งล้วนมีเจตนาให้เยาวชนรู้จักการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย แต่กลับแฝงไปด้วยวัตถุประสงค์อันชั่วร้าย เพื่อยั่วยุและเย้ายวนให้เยาวชนติดกับดักกับแผนการอันโสโครกนี้อย่างแนบเนียนที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังอยู่ในวัยศึกษาซึ่งถูกซึมซับแนวคิดเซ็กส์นิยมตั้งแต่ปฐมวัยด้วยโครงการที่มีชื่อว่าเพศศึกษา
ที่น่าเศร้ามากกว่านี้ ก็คือ สถาบันศาสนาที่ดูเหมือนว่าจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและไม่มีพลังพอที่จะสกัดกั้นกระแสอันเชี่ยวกรากนี้ เรามักได้ยินเสมอว่า วันสำคัญทางศาสนากลับกลายเป็นวันแห่งการเมามาย ไร้สติ และลงท้ายด้วยการกระทำซินา อาจด้วยการสมยอมทั้งสองฝ่ายหรือสิ้นสุดด้วยการข่มขืนกระทำชำเราโดยที่ฝ่ายชายอาศัยคำแก้ตัวด้วยมุกเดิมๆ ว่าทำไปเพราะเมา ถึงขนาดได้รับเสียงโหวตเป็นเอกฉันท์ว่าวันดังกล่าวเป็น“วันเสียตัวแห่งชาติ” “วันถุงยางขาดตลาด” “วันห้องเต็ม” เลยทีเดียว
หากวันสำคัญทางศาสนาได้กลายเป็นวันโสโครกที่สุดถึงระดับนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปชำเลืองดูวันสำคัญอื่นๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น วันมหกรรมกีฬาโอลิมปิก วันมหกรรมฟุตบอลโลก วันประชุมสุดยอดของผู้นำระดับโลก หรือแม้กระทั่งการประชุมสัมมนาในระดับท้องถิ่นหรือภูมิภาค ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็คือ มหกรรมการกระทำซินาและธุรกิจเซ็กส์อย่างเปิดเผยตามที่นบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวไว้มานั่นเอง” [7]
ในเมื่อวัฒนธรรมของสังคมยังเห็นชอบกับการดื่มเหล้าเมายาและการมีกิ๊ก เรายังหวังอะไรได้จากนโยบายและกระบวนการต่างๆ ที่อุตส่าห์คิดค้นขึ้นมาอย่างสวยหรูว่าต้องการลดปัญหาการขาดศีลธรรมและจริยธรรมของสังคมอีกเล่า ไม่ว่าจะมีมาตรการหรือกระบวนการอะไรออกมาก็ล้วนกล่าวได้ว่า ออกมาเป็นแค่นโยบายประเภท “มือถือสากปากถือศีล” หรือ “ลูบหน้าปะจมูก” เท่านั้นเอง
การรณรงค์เรื่อง “ยืดอดพกถุง” เพื่อช่วยแก้ปัญหาท้องก่อนแต่ง มองมุมหนึ่งก็ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว แต่หารู้ไม่ว่ากลายเป็นตัวแพร่เชื้อให้วัฒนธรรมการผิดประเวณีขยายวงมากขึ้น และแทบจะไม่ได้ส่งผลอะไรให้ดีขึ้นเลย
พี่น้องร่วมศรัทธาทุกท่าน ...
ในฐานะที่เป็นมุสลิม ศาสนาอิสลามของเราไม่ได้ละเลยต่อปัญหาเหล่านี้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้น และเราเองก็ไม่ควรนิ่งนอนใจที่จะช่วยกันป้องกันและแก้ปัญหา โดยอาศัยวิธีการตามที่อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ชี้ทางและกำหนดไว้ในบทบัญญัติของพระองค์มาอย่างพร้อมสมบูรณ์กว่า 1400 ปีที่แล้ว
ตามมุมมองของอิสลาม ปัญหาการผิดประเวณี หรือซินา ถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายและรุนแรงยิ่ง อัลกุรอานได้มีคำสั่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ว่า
﴿وَلاَ تَقْرَبُواْ الزِّنَى إِنَّهُ كَانَ فَاحِشَةً وَسَاء سَبِيلاً﴾ (الإسراء : 32 )
ความว่า “และสูเจ้าอย่าได้เข้าใกล้ซินา(การผิดประเวณี) เพราะแน่แท้ มันย่อมเป็นความโสมมที่แย่ยิ่ง และเป็นหนทางที่ชั่วช้าที่สุด” (อัล-อิสรออ์ อายะฮฺที่ 32)
เป็นที่น่าสังเกตอย่างยิ่ง อัลลอฮฺได้ใช้คำสั่งว่า “อย่าเข้าใกล้ซินา” ซึ่งให้ความหมายที่หนักแน่นและรัดกุมกว่าคำสั่ง “อย่าทำซินา” เพราะคำสั่งแรกข้างต้นเป็นการห้ามและป้องกันปัญหาตั้งแต่เริ่มแรกที่สาเหตุเลยทีเดียว อีกประการหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การให้คุณลักษณะของ “ซินา” หรือ การผิดประเวณี ว่าเป็นการกระทำที่สกปรกแสนโสมมและเป็นหนทางที่แสนชั่ว เพราะมันคือการตอบสนองความต้องการของอารมณ์และตัณหาด้วยการฝ่าฝืนคำสั่งองค์อภิบาล ในขณะที่พระองค์ได้เปิดให้มีโอกาสอื่นเพื่อการตอบสนองความใคร่ในทางที่ถูกต้อง การให้คุณลักษณะเช่นนี้ชี้ให้เห็นถึงความเกลียดชังของพระองค์ต่อการกระทำผิดนี้ และได้กำหนดให้มันเป็นบาปใหญ่ที่มีโทษมหันต์ นั่นคือการลงโทษด้วยไฟนรกที่รุนแรงกว่าไฟตัณหาอันเร่าร้อนของสองผู้กระทำผิดนี้หลายเท่าตัว[8]
ซินาหรือการผิดประเวณี ถือเป็นปัญหาสังคมที่กำลังระบาดในปัจจุบัน และไม่มีผู้ใดที่สามารถปกป้องจากการตกในหลุมดำแห่งชีวิตนี้ เว้นแต่ผู้ศรัทธาที่มีความเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺทั้งที่ลับและที่แจ้ง
ท่านอิมามอิบนุล ก็อยยิมได้กล่าวว่า “แม่บทหรือรากฐานของอบายมุขมี 3 ประการ ได้แก่ 1) การที่หัวใจยึดมั่นสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ 2 ) การคล้อยตามอารมณ์โกรธ และ 3) การคล้อยตามอารมณ์ใคร่ เป้าหมายสุดท้ายของอบายมุขประเภทแรกคือ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ เป้าหมายสุดท้ายของอบายมุขประเภทที่สองคือฆาตกรรม และเป้าหมายสุดท้ายของอบายมุขประเภทที่สามคือ ซินา” [9]
“การซินา นอกจากทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสียไร้ความชอบธรรมและสถาบันครอบครัวถูกทำลายอย่างย่อยยับแล้ว ยังเป็นบ่อเกิดของปัญหาสังคมต่างๆ มากมาย อาทิ สิทธิของลูกๆ ถูกปล่อยปะละเลย สตรีถูกย่ำยีศักดิ์ศรีและถูกลอยแพให้ดำเนินชีวิตตามลำพัง การแพร่ระบาดของโรคร้าย เป็นสาเหตุของอาชญากรรม และแหล่งกำเนิดของยุวฆาตรกรที่ยอมทำแท้งลูกในไส้ของตนเอง และที่สำคัญ ซินาทำให้เกิดภาวะอีมานที่โสโครกและเป็นสัญญาณร้ายแห่งการลงโทษทัณฑ์จากอัลลอฮฺ
“ท่านนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวความว่า
“ชุมชนหนึ่งจะไม่กระทำซินาอย่างเปิดเผย เว้นแต่ชุมชนนั้นจะเกิดโรคระบาดอย่างแพร่หลายและความอดอยากที่รุนแรงซึ่ง(การลงโทษทัณฑ์ในลักษณะนี้) ยังไม่เคยประสบแก่ประชาชาติก่อนหน้าพวกเขา” (บันทึกโดยอิบนุ มาญะฮฺ เลขที่ 4155)
“ซินาคืออัปรีย์กิริยาที่แม้แต่คนที่กระทำซินา ก็ยังไม่สามารถยอมรับกับการกระทำอันชั่วช้าของตนเองได้ ดังหะดีษที่มีความว่า
“ชายหนุ่มคนหนึ่งได้มาหาท่านท่านนบีพร้อมกล่าวว่าโอ้รอซูลุลลอฮฺ ได้โปรดอนุญาตให้ฉันซินาด้วยเถิด บรรดาเศาะฮาบะฮฺต่างก็โกรธเคืองและแสดงอาการไม่พอใจ ท่านนบีจึงกล่าวว่า พาเขาให้เข้าใกล้ฉัน ชายคนนั้นก็เข้าใกล้ท่านนบีและนั่งลงต่อหน้าท่านนบี ท่านจึงถามว่า เจ้าพอใจให้คนอื่นกระทำซินากับแม่เจ้าไหม ชายหนุ่มตอบว่า ไม่ ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน ท่านนบีจึงตอบว่า คนอื่นก็ไม่ชอบที่มีคนกระทำซินากับแม่ของเขาเช่นเดียวกัน ท่านนบีจึงถามอีกว่าเจ้าพอใจให้คนอื่นกระทำซินากับลูกสาวเจ้าไหม ชายหนุ่มตอบว่า ไม่ ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน ท่านนบีจึงตอบว่า คนอื่นก็ไม่ชอบที่มีคนกระทำซินากับลูกสาวของเขาเช่นเดียวกัน ท่านนบีจึงถามอีกว่าเจ้าพอใจให้คนอื่นกระทำซินากับน้องสาวเจ้าไหม ชายหนุ่มตอบว่า ไม่ ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน ท่านนบีจึงตอบว่า คนอื่นก็ไม่ชอบที่มีคนกระทำซินากับน้องสาวของเขาเช่นเดียวกัน ท่านนบีถามอีกว่า เจ้าพอใจให้คนอื่นกระทำซินากับป้าเจ้าไหม ชายหนุ่มตอบว่า ไม่ ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน นบีจึงตอบว่า คนอื่นก็ไม่ชอบที่มีคนกระทำซินากับป้าของเขาเช่นเดียวกัน ท่านนบีถามอีกว่า เจ้าพอใจให้คนอื่นกระทำซินากับน้าเจ้าไหม ชายหนุ่มตอบว่า ไม่ ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน ท่านนบีจึงตอบว่า คนอื่นก็ไม่ชอบที่มีคนกระทำ ซินากับน้าของเขาเช่นเดียวกัน ท่านนบีจึงวางมือของท่านบนร่างหนุ่มคนนั้น พร้อมกล่าว ดุอาว่า โอ้อัลลอฮฺ ขอทรงให้อภัยในความผิดพลาดของเขา ได้โปรดให้หัวใจของเขาใสสะอาด และได้โปรดปกป้องอวัยวะเพศของเขา(จากการกระทำซินา) หลังจากนั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่สนใจอะไรเลย (เว้นแต่อยู่ในครรลองศาสนาเท่านั้น)” (บันทึกโดยอะหฺมัด เลขที่ 22265)
“อิสลามถือว่าซินาเป็นบาปใหญ่ และถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนคนหนึ่งต้องเข้านรก ดังมีหะดีษหนึ่งระบุว่า
“มีคนถามนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า ความดีประเภทใดที่ทำให้ผู้คนเข้าสวรรค์มากที่สุด ท่านนบี ตอบว่า ความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และการมีจรรยามารยาทที่ดี นบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถูกถามอีกว่าสิ่งใดที่ทำให้ผู้คนเข้านรกมากที่สุด ท่านนบี จึงตอบว่า ลิ้นและอวัยวะเพศ” (บันทึกโดย อัต-ติรมิซีย์ เลขที่ 2004)
“อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวความว่า “ผู้ใดที่กระทำซินาหรือดื่มเหล้า อัลลอฮฺจะกระชากความศรัทธาหรืออีมานของเขาเสมือนกับคนๆ หนึ่งได้ปลดเปลื้องเสื้อจากศรีษะของเขา” (หะดีษเฎาะอีฟ รายงานโดย อัล-หากิม 1/73)
“ด้วยเหตุนี้อิสลามจึงได้วางมาตรการต่างๆ เพื่อปิดประตูสู่การซินาด้วยกฎระเบียบที่ครอบคลุมและวิธีการป้องกันและปราบปรามที่ครบวงจรและสมบูรณ์ที่สุด” [10]
พี่น้องทั้งหลาย ...
การเกิดขึ้นของซินาหรือการผิดประเวณี แท้จริงแล้วมาจากสาเหตุของ “การบกพร่องทางจิตวิญญาณ” อันมีอีมานหรือความศรัทธาเป็นภูมิคุ้มกันสำคัญ ซึ่งจะคอยค้ำยันให้มนุษย์อยู่ในร่องรอยของศีลธรรมและจริยธรรมได้ตลอดไป
“อีมาน ณ ที่นี้หมายถึง ความเชื่อความศรัทธาที่ฝังลึกในใจ และเผยตัวตนออกมาทั้งทางวาจาและการปฏิบัติตามหลักศาสนบัญญัติเป็นอากัปกิริยาของเรา
“อิมามอัล-บุคอรีย์ได้กล่าวว่า “ฉันได้พบเจอนักวิชาการมากกว่า 1,000 คน แต่ละท่านได้มีความคิดเห็นพ้องต้องกันว่า อีมานคือคำพูดและการกระทำรวมกัน อีมานจะมีเพิ่มและมีลด” (อุศูลุล อีมาน 3/58)
“ด้วยเหตุนี้หากผู้ใดเหินห่างจากการกระทำความดีและไม่สนใจปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอาทิ ละหมาด อ่านอัลกุรอาน ทำความดีต่อพ่อแม่ เชื่อมสัมพันธ์ที่ดีในหมู่เครือญาติ และอื่นๆ ก็ย่อมเป็นการง่ายมากสำหรับเขาที่จะตกหลุมพรางแห่งอบายมุขและกระทำบาปทั้งปวง อีมานที่มั่นคงและเข้มแข็งจึงเป็นเกราะกำบังที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันมิให้เกิดซินา นบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวความว่า
“ไม่มีใครที่จะกระทำซินาในขณะที่เขาเป็นผู้มีอีมานอยู่ ไม่มีใครที่จะดื่มเหล้าในขณะที่เขาเป็นผู้มีอีมานอยู่ และไม่มีใครที่จะลักขโมยในขณะที่เขาเป็นผู้มีอีมานอยู่” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ เลขที่ 5578)
“การระบาดและแพร่หลายของซินาในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพราะมนุษย์ขาดการศึกษา ไม่รู้พิษภัยหรือผลกระทบของซินา และไม่ได้หมายความว่าสังคมนั้นไม่มีกฎหมายหรือบทลงโทษสำหรับผู้กระทำซินา แต่เนื่องจากเกิดอาการพร่องทางจิตวิญญาณ เกิดโรคอีมานอ่อน อัมพาตทางศรัทธา ไม่เกรงกลัวอัลลอฮฺไม่รู้สึกละอายต่อบาป ยึดอารมณ์ของตนเองเป็นพระเจ้าแทน ท้ายสุดแล้วเขาก็เป็นผู้พ่ายแพ้และจมปลักในกับดักชัยฏอนด้วยการทำซินา (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครอง)” [11]
ดังนั้น มาตรการแรกที่ทุกคนควรต้องเอาใจใส่เพื่อแก้ปัญหานี้ก็คือ ปลูกฝังอีมานในใจของผู้คน เพราะนี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่คิดแก้กันที่ปลายเหตุ โดยการชูนโยบายที่แฝงลัทธิบูชาอารมณ์ใคร่ด้วยการสนับสนุนให้ยืดอกพกถุงที่มีให้เห็นกันอย่างทุกวันนี้
อัลกุรอานได้พูดถึงมนุษย์บางกลุ่มที่เห็นอารมณ์เป็นใหญ่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการตามอารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องและจะนำไปสู่ความเสียหายในที่สุด ดังโองการของอัลลอฮฺที่ว่า
﴿أَفَرَأَيْتَ مَنِ اتَّخَذَ إِلَهَهُ هَوَاهُ وَأَضَلَّهُ اللهُ عَلَى عِلْمٍ وَخَتَمَ عَلَى سَمْعِهِ وَقَلْبِهِ وَجَعَلَ عَلَى بَصَرِهِ غِشَاوَةً فَمَن يَهْدِيهِ مِن بَعْدِ اللهِ أَفَلَا تَذَكَّرُونَ﴾ (الجاثية : 23)
ความว่า “เจ้าเคยเห็นผู้ที่ยึดถือเอาอารมณ์ใฝ่ต่ำเป็นพระเจ้าของเขาบ้างไหม ? และอัลลอฮฺจะทรงให้เขาหลงทางด้วยการรอบรู้(ของพระองค์ว่าคนผู้นี้ต้องหลงทาง หรือเขาได้ตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของตัวเองทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด) และพระองค์ทรงผนึกการการฟังของเขาและหัวใจของเขา และทรงทำให้มีสิ่งบดบังดวงตาของเขา ดังนั้นผู้ใดเล่าจะชี้แนะแก่เขาได้หลังจากที่อัลลอฮฺ(ได้ให้เขาหลงทางไปแล้ว) พวกเจ้ามิได้ใคร่ครวญกันดอกหรือ ?” (อัล-ญาษิยะฮฺ 23)
อย่าลืมว่า พฤติกรรมส่ำส่อนและประพฤติผิดทางกามารมณ์นั้นล้วนเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความอยากของมนุษย์เป็นหลัก ซึ่งปะทุขึ้นมาจากหลายสาเหตุและอาจจะผสมโรงกับการล่อลวงของชัยฏอนมารร้ายในรูปแบบต่างๆ ไว้อย่างแนบเนียนและหลีกหนีให้พ้นได้ยากนัก ข้อเท็จจริงนี้ เป็นสิ่งที่อัลกุรอานได้ระบุไว้ชัดเจนถึงงานของชัยฏอนที่คอยล่อลวงมนุษย์ให้ทำผิดและมันไม่เคยหยุดนิ่งที่จะทำลายอีมานของมนุษย์แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว
﴿قَالَ فَبِمَا أَغْوَيْتَنِي لأَقْعُدَنَّ لَهُمْ صِرَاطَكَ الْمُسْتَقِيمَ، ثُمَّ لآتِيَنَّهُم مِّن بَيْنِ أَيْدِيهِمْ وَمِنْ خَلْفِهِمْ وَعَنْ أَيْمَانِهِمْ وَعَن شَمَآئِلِهِمْ وَلاَ تَجِدُ أَكْثَرَهُمْ شَاكِرِينَ﴾ (الأعراف : 16-17)
ความว่า “ด้วยเหตุที่พระองค์ได้กำหนดให้ข้าหลงผิด ข้าขอสาบานว่า ข้าจะล่อลวงพวกเขาจากเส้นทางที่เที่ยงตรงของพระองค์ แล้วข้าจะเข้าไปล่อลวงพวกเขา(ด้วยวิธีต่างๆ)ทั้งจากข้างหน้า ข้างหลัง ข้างขวา และข้างซ้าย พระองค์จะได้เห็นว่า พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เป็นผู้สำนึกคุณ” (อัล-อะอฺรอฟ : 16-17)
และถ้าจะนับจากแผนการแรกที่ชัยฏอนทำได้สำเร็จในการล่อลวงอาดัมและเฮาวาอ์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทั้งมวลก็คือ การทำให้ทั้งสองคนกินสิ่งต้องห้าม และเปลือยร่างของพวกเขาเสีย อัลลอฮฺตรัสถึงเรื่องนี้ว่า
﴿فَوَسْوَسَ لَهُمَا الشَّيْطَانُ لِيُبْدِيَ لَهُمَا مَا وُورِيَ عَنْهُمَا مِنْ سَوْآتِهِمَا وَقَالَ مَا نَهَاكُمَا رَبُّكُمَا عَنْ هَذِهِ الشَّجَرَةِ إِلَّا أَنْ تَكُونَا مَلَكَيْنِ أَوْ تَكُونَا مِنَ الْخَالِدِينَ، وَقَاسَمَهُمَا إِنِّي لَكُمَا لَمِنَ النَّاصِحِينَ، فَدَلَّاهُمَا بِغُرُورٍ فَلَمَّا ذَاقَا الشَّجَرَةَ بَدَتْ لَهُمَا سَوْآتُهُمَا وَطَفِقَا يَخْصِفَانِ عَلَيْهِمَا مِنْ وَرَقِ الْجَنَّةِ﴾ (سورة الأعراف:20-22)
ความว่า “ดังนั้น ชัยฏอนจึงได้กระซิบซาบกับทั้งสองคน โดยมุ่งหมายเพื่อเผยให้เห็นอวัยวะเพศที่ปกปิดอยู่ของทั้งสอง โดยได้กล่าวแก่ทั้งสองว่า ‘ผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสองคนไม่ได้ห้ามพวกเจ้าเข้าใกล้ต้นไม้นี้ นอกเสียจากเพราะมันจะทำให้พวกเจ้าได้เป็นมลาอิกะฮฺและจะได้เป็นผู้อยู่อาศัยในนี้ชั่วกาล’ มันได้สาบานกับทั้งสองว่า ‘แท้จริงข้าเป็นผู้ที่หวังดีกับเจ้าทั้งสองคน’ มันได้ทำให้ทั้งสองตกต่ำด้วยการล่อลวง ดังนั้นเมื่อทั้งสองได้ชิมจากต้นไม้นั้นแล้ว อวัยวะพึงสงวนของทั้งสองคนก็เผยให้เห็น ทั้งอาดัมและเฮาวาอ์(ต่างตกใจ)และได้เก็บเอาใบไม้ในสวรรค์มาปกปิดตัวเอง” (อัล-อะอฺรอฟ :20-22)
พี่น้องผู้ร่วมอีมานทุกท่าน ...
นี่คือข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่มาของปัญหานี้ตามมุมมองอิสลาม มันมีนัยที่อธิบายให้เราเข้าใจประเด็นต่างๆ ได้หลายประการ ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทุกวันนี้
การระบาดหนักของซินาหรือผิดประเวณี ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุ ทว่า มันเกิดขึ้นเพราะมีแรงกระตุ้นและปัจจัยมากมายก่ายกองเป็นตัวจุดไฟแห่งตัณหาและอารมณ์ของมนุษย์ให้คล้อยตามชัยฏอน ในเมื่อสังคมทุกวันนี้อาศัยอยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมอบายมุขที่สิ่งมึนเมาสามารถโฆษณาได้สบายไม่ผิดกฎหมาย การอวดร่างเปลือยล่อนจ้อนเป็นแฟชั่นขายดีหาได้ง่ายตามแผงหนังสือและท้องตลาด บวกกับวัฒนธรรมบันเทิงทั้งหนัง เพลง ละคร และอะไรต่อมิอะไรที่ล้วนปลุกอารมณ์ใฝ่ต่ำและสนองต่อกิเสลตัณหาทั้งสิ้น ดังนั้น การแพร่ระบาดของวัฒนธรรมผิดประเวณีจึงย่อมเป็นผลที่ถือว่าไม่แปลกอะไรเลยอีกต่อไป
ข้อสรุปที่อันตรายและควรต้องฉุกคิดกันให้จงหนัก โดยเฉพาะพวกเราทั้งหลายที่เป็นมุสลิมผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ก็คือ วันนี้เรากำลังอยู่ในสังคมที่รับรู้ถึงความชั่วร้ายที่เกิดขึ้น แต่กลับเห็นดีเห็นชอบกับมันด้วย ผลที่ตามมาจึงน่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก ว่ามันจะคืบคลานเข้ามาหาเราในรูปแบบไหน ถ้าหากว่าเราทุกคนยังนิ่งนอนใจและไม่รู้หนาวรู้ร้อนอะไรกับมันเลย
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ..
ถ้าหากต้นกำเนิดของปัญหาและความยุ่งเหยิงมากมายในสังคมมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่เอาแต่ใจตัวเองและใฝ่แต่ความสุขชั่ววูบตามตัณหา ซึ่งเราอาจจะเรียกว่าเป็น “กระแสวัฒนธรรมชัยฏอน” ก็ไม่ผิด ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุก็คือ ต้องสร้างภาวะการต่อต้านกระแสชัยฏอนในตัวของมนุษย์ให้บังเกิด ด้วยการปลุกอีมานที่อยู่ในใจให้ลุกโชติ เพราะด้วยอีมานเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์สู้กับชัยฏอนได้
ถ้าอารมณ์เรียกร้องให้เราตามความชอบของตัณหา ให้มีความอยากที่จะดื่มของมึนเมา ทั้งๆ ที่มีของอย่างอื่นอีกมากมายที่หะลาลและไม่ทำให้เสียสติ ก็ให้ใช้อีมานเตือนสติเราว่านั่นคือเสียงเรียกร้องของชัยฏอน
ถ้าใจเราบอกว่าวัฒนธรรมโชว์สะดือ แต่งหน้าทำผม อวดทรงและเรือนร่าง คือความทันสมัย ก็ให้ใช้อีมานสำทับเตือนตัวเองว่านั่นคือ ภารกิจของชัยฏอน เป็นแผนที่มันเคยทำสำเร็จมาแล้วกับพ่อแม่ของเราตั้งแต่อดีตกาล
ถ้าสายตาเรายังมองว่าการมีแฟนและคบกันระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องสวยงามของธรรมชาติระหว่างหนุ่มสาว ก็ให้ใช้อีมานฉุดดึงออกมาจากการเคลิ้มฝันเหล่านั้น ว่าแท้จริงแล้วเรากำลังตกอยู่ในบ่วงกับดักของชัยฏอน ที่จะลากเราไปสู่หายนะโดยไม่รู้ตัว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม บอกกับเราว่า
“ถูกกำหนดให้มนุษย์ต้องพบกับการทำซินาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สองตาทำซินาโดยการมอง สองหูทำซินาด้วยการฟัง ลิ้นซินาของมันคือการเปล่งวาจา มือก็ทำซินาด้วยการจับต้อง เท้าทำซินาด้วยการเดินไปหา หัวใจทำซินาด้วยการแสดงอารมณ์และความต้องการ อวัยวะเพศจะเป็นผู้ทำให้มันเป็นจริงหรือยกเลิก” (รายงานโดย มุสลิม 6696)
“พึงทราบเถิด อย่าให้พวกท่านคนใดคนหนึ่งอยู่กันสองต่อสองกับผู้หญิง เพราะแท้จริงแล้วชัยฏอนจะเป็นคนที่สาม(ที่คอยกระซิบกระซาบให้ทำผิด)” (บันทึกโดย อะหมัด 109 และ อัล-หากิม 357)
ดังนั้น สำนึกของเราควรจะต้องชัดเจนอยู่เสมอว่ากระแสแห่งอบายมุขนั้นมีตัวการใหญ่ที่คอยหนุนอยู่เบื้องหลังเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในคราบของมนุษย์หรือไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม
﴿يَا أَيُّهَا النَّاسُ كُلُواْ مِمَّا فِي الأَرْضِ حَلاَلاً طَيِّباً وَلاَ تَتَّبِعُواْ خُطُوَاتِ الشَّيْطَانِ إِنَّهُ لَكُمْ عَدُوٌّ مُّبِينٌ، إِنَّمَا يَأْمُرُكُمْ بِالسُّوءِ وَالْفَحْشَاء وَأَن تَقُولُواْ عَلَى اللهِ مَا لاَ تَعْلَمُونَ﴾ (البقرة : 168- 169)
ความว่า “มนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่ได้รับอนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าปฏิบัติตามแนวทางของชัยฏอน เพราะชัยฏอนเป็นศัตรูที่เปิดเผยของสูเจ้า ที่จริง มันเพียงแต่จะใช้พวกเจ้าให้ประกอบสิ่งชั่วและสิ่งลามกเท่านั้น และจะใช้พวกเจ้ากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 168-169)
เมื่อชัยฏอนและพรรคพวกของมันชักชวนเราไปในทางที่ชั่ว ภารกิจของเราก็คือการสู้กระแสชัยฏอน ด้วยการสร้างกระแสแห่งอีมานในใจของผู้คน ทั้งคนแก่ ผู้ใหญ่ เด็ก และเยาวชน เพราะเมื่อใดที่อีมานประทับอยู่ในใจแล้ว ความยำเกรงต่ออัลลอฮฺก็จะบังเกิด และเมื่อนั้นเราก็จะไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว และพลังล่อลวงของชัยฏอนก็จะไร้ผล
﴿يَا بَنِي آدَمَ قَدْ أَنْزَلْنَا عَلَيْكُمْ لِبَاساً يُوَارِي سَوْآتِكُمْ وَرِيشاً وَلِبَاسُ التَّقْوَى ذَلِكَ خَيْرٌ ذَلِكَ مِنْ آيَاتِ اللهِ لَعَلَّهُمْ يَذَّكَّرُونَ، يَا بَنِي آدَمَ لا يَفْتِنَنَّكُمُ الشَّيْطَانُ كَمَا أَخْرَجَ أَبَوَيْكُمْ مِنَ الْجَنَّةِ يَنْزِعُ عَنْهُمَا لِبَاسَهُمَا لِيُرِيَهُمَا سَوْآتِهِمَا إِنَّهُ يَرَاكُمْ هُوَ وَقَبِيلُهُ مِنْ حَيْثُ لا تَرَوْنَهُمْ إِنَّا جَعَلْنَا الشَّيَاطِينَ أَوْلِيَاءَ لِلَّذِينَ لا يُؤْمِنُونَ﴾ (سورة الأعراف:26- 27)
ความว่า “โอ้ ลูกหลานอาดัม แท้จริงข้าได้ประทานเสื้อผ้าให้กับพวกเจ้าเพื่อใช้ปกปิดอวัยวะอันพึงสงวนของพวกเจ้าแล้ว และยังมีอาภรณ์แห่งความยำเกรงอีก ซึ่งนั่นย่อมดีกว่า นั่นคือจำนวนเครื่องหมายของอัลลอฮฺ เผื่อพวกเจ้าจะสำนึก โอ้ ลูกหลานอาดัม อย่าได้ปล่อยให้ชัยฏอนล่อลวงเจ้า เช่นที่มันได้ทำให้บุพการีทั้งสองของพวกเจ้าออกจากสวรรค์ มันได้ปลดเสื้อผ้าของทั้งสองออกเพื่อเผยให้เห็นอวัยวะอันพึงสงวนของทั้งสอง แท้จริงมันและพรรคพวกมองเห็นพวกเจ้า ในขณะที่พวกเจ้าไม่สามารถเห็นพวกมัน แท้จริงเราได้ทำให้ชัยฏอนเป็นสหายผู้ใกล้ชิดของบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา” (อัล-อะอฺรอฟ :26-27)
จากอายะฮฺนี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่า สำหรับผู้ที่ไม่ศรัทธาเท่านั้น เขาย่อมมีสิทธิและแนวโน้มที่จะเป็นสหายของชัยฏอนได้มากที่สุด แต่สำหรับคนที่มีอีมานและความศรัทธาก็จะไม่เกิดภัยใดๆ แก่เขา อัลลอฮฺได้บอกว่า
﴿إِنَّهُ لَيْسَ لَهُ سُلْطَانٌ عَلَى الَّذِينَ آمَنُواْ وَعَلَى رَبِّهِمْ يَتَوَكَّلُونَ﴾ (النحل : 99 )
ความว่า “แท้จริงแล้ว มัน(ชัยฏอน)นั้นจะไม่มีอำนาจเหนือบรรดาผู้ที่มีอีมานและบรรดาผู้ที่มอบหมายต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา” (อัน-นะหฺลุ 99)
พี่น้องที่รักทุกท่าน ...
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บอกกับประชาชาติของท่านในหะดีษบทหนึ่งมีความว่า
“ขอสาบานด้วยพระองค์ผู้ซึ่งชีวิตข้าอยู่ในหัตถ์แห่งพระองค์ พวกท่านต้องร่วมสั่งเสียในความดี หักห้ามจากความชั่ว หรือ(ถ้าพวกท่านไม่ทำเช่นนั้น)เห็นทีอัลลอฮฺจะส่งการลงโทษของพระองค์ลงมายังพวกท่าน เมื่อนั้นแม้พวกท่านจะวิงวอนขอจากพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทรงตอบรับ” (เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ, หมายเลขหะดีษฺ 7070)
การร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ในสังคม จะต้องอยู่ในมโนสำนึกของพวกเราทุกคน และจะต้องเป็นภารกิจของคนในสังคมทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกบุคคล ในครอบครัว ในชุมชน ในหมู่บ้าน ในตำบล ในองค์กร ในสถาบันการศึกษา และไม่ว่าใครจะมีหน้าที่การงานหรืออาชีพใด ก็ล้วนต้องมีส่วนร่วมในการ “อัล-อัมรุ บิล มะอฺรูฟฺ วะ อัน-นะฮฺยุ อะนิล มุงกัรฺ” (การสั่งและสนับสนุนให้ทำความดี และการห้ามหรือปฏิเสธความชั่ว) ด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะถ้าหากสังคมขาดจิตสำนึกและไม่มีการทำงานเช่นที่ว่านี้ นั่นก็เสมือนว่าเรากำลังนั่งเฉยและเฝ้าดูความหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ชีวิตของเราทุกระยะ ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรจากการทำลายตัวเองในทางอ้อมเลย ความวิบัติต่างๆ ในสังคม ถ้าหากมันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะด้วยน้ำมือใครก็ตาม ก็ล้วนส่งผลโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ก่อขึ้นมาเองก็ตาม เมื่อใดที่อัลลอฮฺประสงค์จะส่งความวิบัติลงมายังมนุษย์บนโลกพระองค์จะไม่เลือกว่ามีใครบ้างที่ควรต้องประสบกับความวิบัตินั้น แต่มันจะลงมาโดนมนุษย์ทุกคนโดยไม่เลือกหน้า
﴿وَاتَّقُواْ فِتْنَةً لاَّ تُصِيبَنَّ الَّذِينَ ظَلَمُواْ مِنكُمْ خَآصَّةً وَاعْلَمُواْ أَنَّ اللهَ شَدِيدُ الْعِقَابِ﴾ (الأنفال : 25 )
ความว่า “พวกเจ้าจงระวังการลงโทษ(ที่อัลลอฮฺใช้ทดสอบ)ที่จะไม่ประสบกับบรรดาผู้อธรรมเท่านั้น และจงรู้เถิดว่าอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้หนักหน่วงในการลงโทษ” (อัล-อันฟาล : 25)
ดังนั้น จงทำในสิ่งที่ท่านทำได้ตั้งแต่วันนี้ ถ้าท่านเป็นพ่อคนก็จงอบรมลูกหลานให้มีอีมาน ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ก็จงสั่งสอนให้ความคิดแก่ลูกศิษย์ให้เห็นถึงภัยนี้ ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจก็จงช่วยร่วมสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยดูแลเยาวชนให้พ้นจากหายนะนี้ ถ้าท่านเป็นคนมีตำแหน่งหน้าที่การงานในหน่วยงานหรือองค์กร์ใดๆ ก็จงยื่นมือและมีส่วนเพื่อยับยั้งความชั่วร้ายที่คืบคลานเข้ามาหาเราทุกระยะ ยิ่งนานวันก็ยิ่งใกล้มากขึ้น ทุกคนจะต้องมีส่วนช่วยในเรื่องนี้เช่นที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บอกไว้ความว่า
“ใครคนหนึ่งในพวกท่านที่เห็นความชั่ว เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงมันด้วยมือของเขา ถ้าไม่มีความสามารถให้เขาใช้ปากพูด และถ้ายังทำไม่ได้อีกให้เขาคิดปฏิเสธสิ่งนั้นในใจ และนั่นคือความศรัทธาขั้นต่ำสุด” (ความหมายจากหะดีษฺ ดู เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ, หมายเลขหะดีษฺ 6250)
وصلى الله على نبينا محمد وعلى آله وصحبه وسلم
[1] http://www.cmprice.com/forum/?content=detail&wb_type_id=18&topic_id=20931
[2] http://www.cueid.org/content/view/906/40/
[3] เรื่องเดียวกัน
[4] เรื่องเดียวกัน
[5] http://www.cueid.org/content/view/1170/40/
[6] http://health.kapook.com/view7435.html
[7] มัสลัน มาหะมะ. แต่งงานง่าย ซินายาก . http://www.islamhouse.com/p/260890
[8] อ้างจาก ซุฟอัม อุษมาน. หญิงคบชาย ชายคบหญิง. http://www.iqraforum.com/forum/index.php?topic=1470.0
[9] อ้างจาก มัสลัน มาหะมะ. แต่งงานง่าย ซินายาก . http://www.islamhouse.com/p/260890
[10] เรื่องเดียวกัน
[11] เรื่องเดียวกัน