- อิสลามคืออะไร?
อิสลามคืออะไร?
ما هو الإسلام؟
อิสลามคืออะไร?
เราจะสามารถหาคำอธิบายในความยิ่งใหญ่ของจักรวาลได้อย่างไร ? มีคำชี้แจงใดๆบ้างที่สร้างความมั่นใจแก่เราถึงการมีอยู่ที่เร้นลับนี้ ?
เราสำนึกและเข้าใจเป็นอย่างดีว่า
ไม่มีครอบครัวใดจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยปราศจากหัวหน้าครอบครัวที่มีความรับผิดชอบ และไม่มีเมืองใดๆที่จะสามารถเจริญรุ่งเรืองได้
นอกจากการบริหารที่ดีและไม่มีรัฐใดๆที่จะสามารถรอดอยู่ได้
นอกจากจะต้องมีผู้นำที่มีความสามารถ
และเรายอมรับในความเป็นจริงว่า ไม่มีสิ่งใดๆ
จะบังเกิดขึ้นเองได้โดยลำพัง นอกจากนั้น เรายังสามารถสังเกตเห็นว่า
จักรวาลอันยิ่งใหญ่ถูกจัดอยู่อย่างมีระเบียบ และปฏิบัติหน้าที่ของมัน
อย่างมีประสิทธิภาพ และมันอยู่รอดอย่างนี้มาเป็นเวลาพัน ๆ ปีมาแล้ว
อย่างนี้เราจะกล่าวว่า ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ
อย่างไม่มีแบบแผนได้อย่างไร ? เราจะให้เหตุผลว่า
การมีอยู่ของมนุษย์และจักรวาลโลกนี้เป็นไปตามธรรมชาติได้อย่างไร ?
มนุษยชาติเรานี้
เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เล็กที่สุดของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ หากเขาเคยเป็นผู้วางแผนการและเห็นในคุณค่าและความดีงามของแผนการนั้น
การเป็นอยู่ของเขาและการอยู่รอดของจักวาลก็จำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักการวางแผนและนโยบายที่ดีเช่นกัน
นี่หมายถึง
การมีอยู่ขององค์ประกอบแห่งปัจจัยของเรานี้
ได้ถูกออกแบบและวางแผนมาล่วงหน้าอย่างมีระบบ และต้องมีอำนาจพิเศษในการที่จะให้บังเกิดและบังคับมันให้ดำเนินไปอย่างมีระบบด้วยดี
ในโลกนี้ต้องมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
ที่ดำรงอยู่ตลอดกาล
เพื่อบังคับให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างมีระบบในความสวยงามแห่งธรรมชาตินี้ก็เช่นกันจะต้องมีผู้สร้างผู้ให้บังเกิดที่ยิ่งใหญ่
ผู้ซึ่งได้ให้บังเกิดศิลปกรรมชิ้นหนึ่งที่งามเลิศ
และทรงสร้างทุกสรรพสิ่งสำหรับจุดประสงค์อันดียิ่งของชีวิต
บุคคลผู้ซึ่งรู้แจ้ง
เห็นชัด ต้องยอมรับว่า ผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่นี้ คือ “พระผู้ทรงเป็นเจ้า"(ศาสนาอิสลามเรียกพระองค์ว่า
อัลลอฮฺ)พระองค์ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เพราะมนุษย์ไม่สามารถสร้างหรือให้บังเกิดมนุษย์ด้วยกันได้
และพระองค์ก็ไม่ใช่สัตว์ หรือต้นไม้ พระองค์ไม่ใช่เทวรูปหรือรูปปั้นใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถให้บังเกิดตนเอง และไม่สามารถให้บังเกิดสิ่งอื่นจากมันได้
พระองค์ทรงคุณลักษณะที่แตกต่างจากสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง เพราะพระองค์คือ
พระผู้ทรงสร้างและผู้ทรงดูแลรักษาสรรพสิ่งทั้งมวล พระผู้ทรงสร้างนั้นย่อมจะแตกต่างและยิ่งใหญ่กว่าสิ่งถูกสร้างทั้งหลายในชั้นฟ้าและแผ่นดิน
เราสามารถรู้จัก
“อัลลอฮฺ"พระผู้เป็นเจ้าได้ด้วยหลายวิถีทาง
และมีสรรพสิ่งหลายอย่างที่บ่งบอกถึงพระองค์ ความพิศวงอันมากมายคณานับ
และความซาบซึ้งอันประหลาดยิ่งของโลกเรานี้ เปรียบเสมือน หนังสือที่เปิดกว้างอยู่
ซึ่งเราสามารถอ่านได้เกี่ยวกับพระองค์อัลลอฮฺ นอกจากนี้
พระองค์ได้ทรงประทานความช่วยเหลือแก่เราโดยผ่าน บรรดาศาสนทูตและคัมภีร์ต่างๆ
ที่พระองค์ส่งมายังมนุษยชาติ บรรดาศาสนทูตและคัมภีร์เหล่านี้
สามารถชี้แจงถึงสิ่งที่เราต้องการรู้เกี่ยวกับพระองค์อัลลอฮฺ
การยอมรับโดยดุษฎีในหลักคำสั่งสอนและทางนำแห่ง “อัลลอฮฺ"ดังที่ได้ถูกประทานแก่ท่านศาสนทูตมูฮัมหมัด
ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม นั่นคือ ศาสนา แห่ง อิสลาม
อิสลาม
ได้สั่งสอนในเรื่องความศรัทธาในเอกภาพและอำนาจสูงสุดแห่งอัลลอฮฺ
ซึ่งได้ทำให้มนุษยชาติได้ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของจักรวาล
และการเป็นอยู่ของเขาในจักรวาลนี้
หลักความเชื่อถือดังกล่าวได้ทำให้มนุษย์ชาติมีความรู้สึกปราศจากความกลัวต่าง ๆ
และทำลายความเชื่อถือทางไสยศาสตร์ โดยทำให้มนุษยชาติมีจิตสำนึก
ในการมีอยู่ของอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ และสำนึกในหน้าที่ในฐานะบ่าวที่มีต่อนาย
ความเชื่อถือนี้จำต้องแสดงออกและตรวจสอบด้วยการกระทำ เพียงแค่ความเชื่อถือเท่านั้นไม่เป็นการเพียงพอ
ความเชื่อศรัทธาในอัลลอฮฺองค์เดียวจำเป็นต้องมองมนุษยชาติในฐานะครอบครัวหนึ่ง
ภายใต้อำนาจแห่งสากลจักรวาลของอัลลอฮฺ พระผู้ทรงสร้าง
พระผู้ทรงประทานเครื่องยังชีพ ต่อสรรพสิ่งทั้งมวล
อิสลาม
ปฏิเสธแนวความคิดเกี่ยวกับ “ชนผู้ถูกคัดเลือก"การเชื่อมั่นศรัทธาในพระองค์อัลลอฮฺและปฏิบัติตนด้วยวิถีที่ดีงาม
เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะนำพาเราสู่สวนสวรรค์ ดังนั้น
ความสัมพันธ์ต่อพระองค์อัลลอฮฺจึงสามารถกระทำได้โดยตรง และปราศจากสื่อกลางใด ๆ
อิสลามหาใช่ศาสนาใหม่แต่อย่างใดไม่
แต่เป็นแก่นแท้ของสารดั้งเดิมและเป็นทางนำซึ่งพระองค์ได้ทรงประทานให้แก่บรรดาศาสนทูตทุกท่านก่อนหน้านี้เช่น
ศาสนทูตอาดัม, ศาสนทูตนูฮฺ(โนอาห์), ศาสนทูตอิสมาอีล (ยิสมาอิล),ศาสนทูตอิสหาาก(ไอแซก),
ศาสนทูตดาวูด (เดวิด), ศาสนทูตมูซา (โมเสส),ท่านศาสนทูตอีซา(พระเยซูคริสต์)
ขอความสันติสุข จงมีแด่ท่านเหล่านั้นทุกคน
คัมภีร์อัลกุรอาน คือ พระดำรัสสุดท้ายที่ได้ถูกประทานลงมา
ซึ่งนับว่าเป็นที่มาแห่งหลักคำสั่งสอนและกฎหมายอิสลาม
คัมภีร์อัลกุรอาน
มีสาระสัมพันธ์กับพื้นฐานแห่งข้อบัญญัติทางศาสนา, จริยธรรม,
ประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ, การเคารพภักดี, ความรู้วิชาการ, วิทยปัญญา, ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า,
และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยชาติในทุกด้าน, เป็นคำสอนที่กว้างขวาง
ซึ่งบนพื้นฐานดังกล่าว สามารถสร้างระบบที่ถูกต้องในด้านความยุติธรรมในสังคมมนุษยชาติ,ระบบเศรษฐศาสตร์,
การเมืองการปกครอง, นิติบัญญัติ, นิติศาสตร์, กฎหมาย, และความสัมพันธ์นานาชาติ,
เหล่านี้ คือ สาระส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งของคำสั่งสอนแห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอาน
และพจนารถอันเป็นถ้อยคำสอนและแบบอย่างของท่านศาสนทูตมูฮัมหมัด
ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม
ซึ่งได้ถูกรายงานและรวบรวมโดยบรรดาสาวกผู้อุทิศตนของท่านอย่างพิถีพิถันมาก
และได้ให้คำบรรยายโองการคัมภีร์อัลกุรอานอย่างละเอียด
หลักความเชื่อของศาสนาอิสลาม
มุสลิมผู้ยึดมั่นอย่างแท้จริงและเคร่งครัด จำต้องมีความเชื่อมั่นศรัทธาในข้อบังคับดังต่อไปนี้
1. ต้องศรัทธามั่นในอัลลอฮฺองค์เดียว
ผู้ทรงมีอำนาจสูงสุด ผู้ทรงมีอยู่ชั่วนิรันดร์ ผู้ทรงคุณลักษณะเป็นเจ้า
ผู้ทรงอภิสิทธิแต่ผู้เดียว ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงสร้างและผู้ทรงประทานให้ซึ่งเครื่องยังชีพ
2.
ต้องศรัทธามั่นใน บรรดาศาสนทูต
(หรือที่เรียกว่า รอซูล) ทั้งหลายของอัลลอฮฺโดยปราศจากการแบ่งแยกใด ๆ
ระหว่างท่านเหล่านั้น ทุก ๆ ประชาชาติ ที่มีชื่อในอดีต ต่างก็มี
ศาสนทูตผู้กล่าวเตือน ซึ่งถูกส่งมาโดยอัลลอฮฺ ท่านเหล่านั้นได้รับเลือกจากพระองค์
เพื่อมาสั่งสอนมนุษยชาติ และนำข่าวสารของพระองค์มาเผยแพร่ อัล-กุรอานได้กล่าวถึงชื่อ
บรรดารอซูล 25 ท่าน สำหรับท่านศาสนทูตมูฮัมหมัด เป็น
รอซูลท่านสุดท้ายในบรรดารอซูลที่ถูกส่งมาทั้งหมด ท่านคือผู้ทรงเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่บนรากฐานแห่งความเป็นศาสนทูต
3.
มุสลิมต้องศรัทธามั่นต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์
คัมภีร์เหล่านี้ คือ แสงสว่างนำทางที่ได้ถูกประทานมายังบรรดารอซูล เพื่อแนะนำ
ชี้แจงให้แก่บรรดาประชาชาติของท่านได้รับทราบแนวทางที่เที่ยงตรงของอัลลอฮฺ
ได้มีการกล่าวอ้างเป็นพิเศษ ถึงคัมภีร์ต่าง ๆ ของท่านศาสนทูตอิบรอฮีม(อับราฮัม),
ท่าน
ศาสนทูตมูซา(โมเสส), ท่านศาสนทูตดาวูด (เดวิด) และท่านศาสนทูตอีซา(พระเยซูคริสต์)
แต่ทว่า บรรดาคัมภีร์ดังกล่าวบางเล่มได้ถูกแก้ไข
เพิ่มเติมหรือสูญหายก่อนหน้าคัมภีร์อัลกุรอานจะถูกประทานลงมาแก่ท่านศาสนทูต
มูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นเวลาช้านาน ฉะนั้น
พระคัมภีร์ที่ยังดำรงแบบฉบับดั้งเดิม และสมบูรณ์แบบที่สุดในปัจจุบันนี้ ก็คือ อัลกุรอานเท่านั้น
4. มุสลิมที่แท้จริงต้องศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮฺของอัลลอฮฺ
มลาอิกะฮฺเหล่านี้ทรงรูปแบบจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์
เป็นสิ่งถูกสร้างที่ดีเลิศซึ่งปราศจากความต้องการกินดื่มหรือหลับนอน
มลาอิกะฮฺจะเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮฺ ตลอดกลางวันและกลางคืน เป็นบ่าวที่ทรงเกียรติของอัลลอฮฺ
ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญ ๆ และจะไม่พูด ก่อนที่อัลลอฮฺจะสั่ง
แต่จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่พระองค์ทรงสั่งใช้ทุกประการ
5. มุสลิมจำต้องศรัทธาในวันสุดท้ายวันแห่งการตัดสิน
โลกนี้จะสูญสลายในวันหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นบรรดาคนตายจะถูกให้ฟื้นคืนชีพ
เพื่อรับทราบผลกรรมทั้งดีและชั่ว การตัดสินจะกระทำโดยความยุติธรรมยิ่ง
บุคคลใดที่ผลการบันทึกของเขาดี ก็จะได้รับรางวัลด้วยความเอื้อเฟื้อ
และได้รับการต้อนรับสู่สวนสรรค์ของอัลลอฮฺ สำหรับคนที่การบันทึกของเขามีแต่ความชั่ว
ก็จะได้รับการลงโทษและขับไสไล่ส่งสู่ขุมนรก
6. มุสลิมจำต้องศรัทธามั่นในกฎกำหนดสภาวะทั้งดีและชั่ว
ซึ่งอัลลอฮฺ ได้ทรงกำหนดให้แก่บรรดาสิ่งถูกสร้างและมนุษยชาติ
ด้วยความรอบรู้ของพระองค์เป็นการล่วงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกวางแผนการไว้ล่วงหน้า
ด้วยอำนาจและความรอบรู้ของพระองค์โดยปราศจากเวลา
และไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในอาณาจักรของพระองค์นอกจากความรอบรู้และความต้องการของพระองค์
ความรอบรู้และอำนาจของพระองค์ทรงมีอยู่และปฎิบัติการได้ตลอดเวลาเหนือบ่าวและสิ่งถูกสร้างอื่น
ๆ ของพระองค์ พระองค์ทรงรอบรู้เหนือทุกสรรพสิ่ง ทรงเมตตา กรุณา กิจการใด ๆ
ของพระองค์ย่อมมีเป้าหมายอันดีเลิศ
หากเรามีความเชื่อเช่นนี้ในจิตใจและในความคิดของเรา เราควรที่จะต้องยอมรับ
ด้วยความศรัทธามั่นอย่างแท้จริงในสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิต
ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่เข้าใจได้หรือคิดว่ามันไม่ดี
หลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม
การศรัทธาที่ปราศจากการปฏิบัติ ย่อมจะไร้คุณค่าตามทัศนะแห่งอิสลาม ความเชื่อมั่นโดยธรรมชาติเป็นความรู้สึกที่รับได้ง่าย และอาจจะเป็นวิถีทางที่มีผลดีที่สุด แต่เมื่อไม่ปฏิบัติหรือนำมาใช้แล้ว การมีอยู่และอำนาจแรงดลใจของมันก็จะสูญสิ้นได้โดยเร็ว
ในอิสลามมีหลักปฏิบัติห้าประการที่จำเป็นดังนี้
ชะฮาดะตัยน์
คือ การปฏิฎานตนว่า ไม่มีผู้ใดที่สมควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺองค์เดียว
และมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม คือศาสนทูตของพระองค์ซึ่งถูกส่งมายังมนุษยชาติ
จนกระทั่งวันแห่งการตัดสิน มุสลิมทั้งมวลจำต้องปฏิบัติตามแบบฉบับที่ดีงามของท่านศาสนทูต
มูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม
เศาะลาฮฺ
หรือ นมาซ/ละหมาด คือ
การสวดอ้อนวอนประจำวันห้าเวลา
ดังเป็นหน้าที่ของมุสลิมทั้งชายหญิงจำต้องปฏิบัติต่ออัลลอฮฺ การปฏิบัติเศาะลาฮฺเป็นประจำจะทำให้มีความเชื่อมั่นในอัลลอฮฺมีชีวิตชีวาเพิ่มยิ่งขึ้นและจะกระตุ้นมนุษย์สู่จรรยาธรรมที่สูงส่ง
นมาซยังทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง และยับยั้งจากการล่อลวงสู่ความประพฤติชั่ว
ผิดศีลธรรม
เศาะลาฮฺ หรือการละหมาดดังกล่าว คือ
·
เศาะลาตุล ฟัจญ์รฺ หรือ นมาซศุบห์ (เวลาก่อนรุ่งสาง)
·
เศาะลาตุซซุฮฺรี (เวลาหลังเที่ยง)
·
เศาะลาตุลอัศร์ (เวลาบ่ายและเริ่มเข้าช่วงเย็น)
·
เศาะลาตุลมัฆริบ (หลังตะวันตกดิน)
·
เศาะลาตุลอิชาอ์ (เวลากลางคืน)
ซะกาต
ความหมายตามตัวง่าย ๆ ของซะกาต คือ
การซักฟอก, ความบริสุทธิ์,ส่วนความหมายตามหลักวิชาการของคำ ๆ นี้
ได้ถูกกำหนดไว้สำหรับทรัพย์สินมีค่าหรือเงินทองที่ครบรอบปี
ซึ่งมุสลิมผู้มีทรัพย์ครอบครองในเวลาที่ถูกกำหนดไว้จำต้องจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิที่จะได้รับแต่ความสำคัญของ
ซะกาตในด้านศาสนาและจิตวิญญาณนับว่ายังมีความหมายลึกซึ้งอยู่อีกมาก
ดังนั้นคุณค่าของซะกาตสามารถ ส่งผลสะท้อนต่อมนุษยชาติ และสังคม การเมือง
ได้เป็นอย่างดี
เศาว์มฺ
หรือ
การถือศีลอดในช่วงเดือนเราะมะฎอน ชาวมุสลิม ไม่ได้งดเว้นจากการรับประทาน, การดื่ม และการร่วมประเวณีระหว่างเวลารุ่งสางจนกระทั่งตะวันตกดินเพียงเท่านั้น
แต่เขายังจำต้องงดเว้น จากการคิดที่ไม่มีศิริมงคล, ความตั้งใจที่ชั่วร้าย
และความปรารถนาอื่นๆ ตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนเราะมะฎอน การถือศีลอดได้สอนให้เรามีความรัก
สมัครสมาน, สามัคคี, มีความบริสุทธิ์ใจ, อุทิศเพื่อส่วนรวม, การต่อสู้และบังคับจิตใจตนเอง
และยังได้สร้างความรู้สึกที่ดีต่อสังคมส่วนรวม,
การอดกลั้นบังคับตนไม่ให้มีความเห็นแก่ตัวและบังคับความอยาก
ฮัจญ์
(การแสวงหาบุญ ณ
เมืองมักกะฮฺ)ชาวมุสลิม จำต้องไปประกอบพิธีนี้ ณ เมืองมักกะฮฺอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต
หากเขามีความสามารถ ทั้งร่างกายและทรัพย์สินใช้จ่ายในการเดินทางฮัจญ์ คือ
การประชุม, การชุมนุม ประจำปีด้วยความศรัทธามั่นในพระผู้เป็นเจ้า ซึ่ง ณ ที่นั้น
ชาวมุสลิมจะพบปะแสดงความรู้จักซึ่งกันและกัน, ศึกษาหรือปรึกษาหารือในกิจการทั่วๆ
ไปของพวกเขา และส่งเสริมบำรุงรักษา และยกฐานะกิจการของตนให้ดีขึ้น
เป็นการแสดงออกซึ่งความสามัคคีแห่งโลกอิสลาม, ภราดรภาพ และความเสมอภาคของมุสลิม
อิสลามคืออะไร? แนะนำและอธิบายอิสลามเบื้องต้นสำหรับผู้ไม่ใช่มุสลิมเพื่อทำความรู้จักอิสลามในระดับแรกเกริ่นนำด้วยภาพรวมโดยสังเขป
และตามด้วยการอธิบายหลักความเชื่อและหลักปฏิบัติที่แก่นแกนของศาสนาอิสลามอย่างคร่าวๆ
อิสลามคืออะไร?
ما هو الإسلام؟
อิสลามคืออะไร?
เราจะสามารถหาคำอธิบายในความยิ่งใหญ่ของจักรวาลได้อย่างไร ? มีคำชี้แจงใดๆบ้างที่สร้างความมั่นใจแก่เราถึงการมีอยู่ที่เร้นลับนี้ ?
เราสำนึกและเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ไม่มีครอบครัวใดจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปราศจากหัวหน้าครอบครัวที่มีความรับผิดชอบ และไม่มีเมืองใดๆที่จะสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ นอกจากการบริหารที่ดีและไม่มีรัฐใดๆที่จะสามารถรอดอยู่ได้ นอกจากจะต้องมีผู้นำที่มีความสามารถ
และเรายอมรับในความเป็นจริงว่า ไม่มีสิ่งใดๆ จะบังเกิดขึ้นเองได้โดยลำพัง นอกจากนั้น เรายังสามารถสังเกตเห็นว่า จักรวาลอันยิ่งใหญ่ถูกจัดอยู่อย่างมีระเบียบ และปฏิบัติหน้าที่ของมัน อย่างมีประสิทธิภาพ และมันอยู่รอดอย่างนี้มาเป็นเวลาพัน ๆ ปีมาแล้ว อย่างนี้เราจะกล่าวว่า ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ อย่างไม่มีแบบแผนได้อย่างไร ? เราจะให้เหตุผลว่า การมีอยู่ของมนุษย์และจักรวาลโลกนี้เป็นไปตามธรรมชาติได้อย่างไร ?
มนุษยชาติเรานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เล็กที่สุดของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ หากเขาเคยเป็นผู้วางแผนการและเห็นในคุณค่าและความดีงามของแผนการนั้น การเป็นอยู่ของเขาและการอยู่รอดของจักวาลก็จำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักการวางแผนและนโยบายที่ดีเช่นกัน
นี่หมายถึง การมีอยู่ขององค์ประกอบแห่งปัจจัยของเรานี้ ได้ถูกออกแบบและวางแผนมาล่วงหน้าอย่างมีระบบ และต้องมีอำนาจพิเศษในการที่จะให้บังเกิดและบังคับมันให้ดำเนินไปอย่างมีระบบด้วยดี
ในโลกนี้ต้องมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ที่ดำรงอยู่ตลอดกาล เพื่อบังคับให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างมีระบบในความสวยงามแห่งธรรมชาตินี้ก็เช่นกันจะต้องมีผู้สร้างผู้ให้บังเกิดที่ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งได้ให้บังเกิดศิลปกรรมชิ้นหนึ่งที่งามเลิศ และทรงสร้างทุกสรรพสิ่งสำหรับจุดประสงค์อันดียิ่งของชีวิต
บุคคลผู้ซึ่งรู้แจ้ง เห็นชัด ต้องยอมรับว่า ผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่นี้ คือ “พระผู้ทรงเป็นเจ้า"(ศาสนาอิสลามเรียกพระองค์ว่า อัลลอฮฺ)พระองค์ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เพราะมนุษย์ไม่สามารถสร้างหรือให้บังเกิดมนุษย์ด้วยกันได้ และพระองค์ก็ไม่ใช่สัตว์ หรือต้นไม้ พระองค์ไม่ใช่เทวรูปหรือรูปปั้นใดๆ ทั้งสิ้น เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถให้บังเกิดตนเอง และไม่สามารถให้บังเกิดสิ่งอื่นจากมันได้ พระองค์ทรงคุณลักษณะที่แตกต่างจากสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง เพราะพระองค์คือ พระผู้ทรงสร้างและผู้ทรงดูแลรักษาสรรพสิ่งทั้งมวล พระผู้ทรงสร้างนั้นย่อมจะแตกต่างและยิ่งใหญ่กว่าสิ่งถูกสร้างทั้งหลายในชั้นฟ้าและแผ่นดิน
เราสามารถรู้จัก “อัลลอฮฺ"พระผู้เป็นเจ้าได้ด้วยหลายวิถีทาง และมีสรรพสิ่งหลายอย่างที่บ่งบอกถึงพระองค์ ความพิศวงอันมากมายคณานับ และความซาบซึ้งอันประหลาดยิ่งของโลกเรานี้ เปรียบเสมือน หนังสือที่เปิดกว้างอยู่ ซึ่งเราสามารถอ่านได้เกี่ยวกับพระองค์อัลลอฮฺ นอกจากนี้ พระองค์ได้ทรงประทานความช่วยเหลือแก่เราโดยผ่าน บรรดาศาสนทูตและคัมภีร์ต่างๆ ที่พระองค์ส่งมายังมนุษยชาติ บรรดาศาสนทูตและคัมภีร์เหล่านี้ สามารถชี้แจงถึงสิ่งที่เราต้องการรู้เกี่ยวกับพระองค์อัลลอฮฺ การยอมรับโดยดุษฎีในหลักคำสั่งสอนและทางนำแห่ง “อัลลอฮฺ"ดังที่ได้ถูกประทานแก่ท่านศาสนทูตมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม นั่นคือ ศาสนา แห่ง อิสลาม
อิสลาม ได้สั่งสอนในเรื่องความศรัทธาในเอกภาพและอำนาจสูงสุดแห่งอัลลอฮฺ ซึ่งได้ทำให้มนุษยชาติได้ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของจักรวาล และการเป็นอยู่ของเขาในจักรวาลนี้ หลักความเชื่อถือดังกล่าวได้ทำให้มนุษย์ชาติมีความรู้สึกปราศจากความกลัวต่าง ๆ และทำลายความเชื่อถือทางไสยศาสตร์ โดยทำให้มนุษยชาติมีจิตสำนึก ในการมีอยู่ของอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ และสำนึกในหน้าที่ในฐานะบ่าวที่มีต่อนาย ความเชื่อถือนี้จำต้องแสดงออกและตรวจสอบด้วยการกระทำ เพียงแค่ความเชื่อถือเท่านั้นไม่เป็นการเพียงพอ
ความเชื่อศรัทธาในอัลลอฮฺองค์เดียวจำเป็นต้องมองมนุษยชาติในฐานะครอบครัวหนึ่ง ภายใต้อำนาจแห่งสากลจักรวาลของอัลลอฮฺ พระผู้ทรงสร้าง พระผู้ทรงประทานเครื่องยังชีพ ต่อสรรพสิ่งทั้งมวล
อิสลาม ปฏิเสธแนวความคิดเกี่ยวกับ “ชนผู้ถูกคัดเลือก"การเชื่อมั่นศรัทธาในพระองค์อัลลอฮฺและปฏิบัติตนด้วยวิถีที่ดีงาม เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะนำพาเราสู่สวนสวรรค์ ดังนั้น ความสัมพันธ์ต่อพระองค์อัลลอฮฺจึงสามารถกระทำได้โดยตรง และปราศจากสื่อกลางใด ๆ
อิสลามหาใช่ศาสนาใหม่แต่อย่างใดไม่ แต่เป็นแก่นแท้ของสารดั้งเดิมและเป็นทางนำซึ่งพระองค์ได้ทรงประทานให้แก่บรรดาศาสนทูตทุกท่านก่อนหน้านี้เช่น ศาสนทูตอาดัม, ศาสนทูตนูฮฺ(โนอาห์), ศาสนทูตอิสมาอีล (ยิสมาอิล),ศาสนทูตอิสหาาก(ไอแซก), ศาสนทูตดาวูด (เดวิด), ศาสนทูตมูซา (โมเสส),ท่านศาสนทูตอีซา(พระเยซูคริสต์) ขอความสันติสุข จงมีแด่ท่านเหล่านั้นทุกคน
คัมภีร์อัลกุรอาน คือ พระดำรัสสุดท้ายที่ได้ถูกประทานลงมา ซึ่งนับว่าเป็นที่มาแห่งหลักคำสั่งสอนและกฎหมายอิสลาม
คัมภีร์อัลกุรอาน มีสาระสัมพันธ์กับพื้นฐานแห่งข้อบัญญัติทางศาสนา, จริยธรรม, ประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ, การเคารพภักดี, ความรู้วิชาการ, วิทยปัญญา, ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า, และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยชาติในทุกด้าน, เป็นคำสอนที่กว้างขวาง ซึ่งบนพื้นฐานดังกล่าว สามารถสร้างระบบที่ถูกต้องในด้านความยุติธรรมในสังคมมนุษยชาติ,ระบบเศรษฐศาสตร์, การเมืองการปกครอง, นิติบัญญัติ, นิติศาสตร์, กฎหมาย, และความสัมพันธ์นานาชาติ, เหล่านี้ คือ สาระส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งของคำสั่งสอนแห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอาน และพจนารถอันเป็นถ้อยคำสอนและแบบอย่างของท่านศาสนทูตมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งได้ถูกรายงานและรวบรวมโดยบรรดาสาวกผู้อุทิศตนของท่านอย่างพิถีพิถันมาก และได้ให้คำบรรยายโองการคัมภีร์อัลกุรอานอย่างละเอียด
หลักความเชื่อของศาสนาอิสลาม
มุสลิมผู้ยึดมั่นอย่างแท้จริงและเคร่งครัด จำต้องมีความเชื่อมั่นศรัทธาในข้อบังคับดังต่อไปนี้
1. ต้องศรัทธามั่นในอัลลอฮฺองค์เดียว ผู้ทรงมีอำนาจสูงสุด ผู้ทรงมีอยู่ชั่วนิรันดร์ ผู้ทรงคุณลักษณะเป็นเจ้า ผู้ทรงอภิสิทธิแต่ผู้เดียว ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงสร้างและผู้ทรงประทานให้ซึ่งเครื่องยังชีพ
2. ต้องศรัทธามั่นใน บรรดาศาสนทูต (หรือที่เรียกว่า รอซูล) ทั้งหลายของอัลลอฮฺโดยปราศจากการแบ่งแยกใด ๆ ระหว่างท่านเหล่านั้น ทุก ๆ ประชาชาติ ที่มีชื่อในอดีต ต่างก็มี ศาสนทูตผู้กล่าวเตือน ซึ่งถูกส่งมาโดยอัลลอฮฺ ท่านเหล่านั้นได้รับเลือกจากพระองค์ เพื่อมาสั่งสอนมนุษยชาติ และนำข่าวสารของพระองค์มาเผยแพร่ อัล-กุรอานได้กล่าวถึงชื่อ บรรดารอซูล 25 ท่าน สำหรับท่านศาสนทูตมูฮัมหมัด เป็น รอซูลท่านสุดท้ายในบรรดารอซูลที่ถูกส่งมาทั้งหมด ท่านคือผู้ทรงเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่บนรากฐานแห่งความเป็นศาสนทูต
3. มุสลิมต้องศรัทธามั่นต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ คัมภีร์เหล่านี้ คือ แสงสว่างนำทางที่ได้ถูกประทานมายังบรรดารอซูล เพื่อแนะนำ ชี้แจงให้แก่บรรดาประชาชาติของท่านได้รับทราบแนวทางที่เที่ยงตรงของอัลลอฮฺ ได้มีการกล่าวอ้างเป็นพิเศษ ถึงคัมภีร์ต่าง ๆ ของท่านศาสนทูตอิบรอฮีม(อับราฮัม), ท่าน ศาสนทูตมูซา(โมเสส), ท่านศาสนทูตดาวูด (เดวิด) และท่านศาสนทูตอีซา(พระเยซูคริสต์) แต่ทว่า บรรดาคัมภีร์ดังกล่าวบางเล่มได้ถูกแก้ไข เพิ่มเติมหรือสูญหายก่อนหน้าคัมภีร์อัลกุรอานจะถูกประทานลงมาแก่ท่านศาสนทูต มูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นเวลาช้านาน ฉะนั้น พระคัมภีร์ที่ยังดำรงแบบฉบับดั้งเดิม และสมบูรณ์แบบที่สุดในปัจจุบันนี้ ก็คือ อัลกุรอานเท่านั้น
4. มุสลิมที่แท้จริงต้องศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮฺของอัลลอฮฺ มลาอิกะฮฺเหล่านี้ทรงรูปแบบจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ เป็นสิ่งถูกสร้างที่ดีเลิศซึ่งปราศจากความต้องการกินดื่มหรือหลับนอน มลาอิกะฮฺจะเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮฺ ตลอดกลางวันและกลางคืน เป็นบ่าวที่ทรงเกียรติของอัลลอฮฺ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญ ๆ และจะไม่พูด ก่อนที่อัลลอฮฺจะสั่ง แต่จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่พระองค์ทรงสั่งใช้ทุกประการ
5. มุสลิมจำต้องศรัทธาในวันสุดท้ายวันแห่งการตัดสิน โลกนี้จะสูญสลายในวันหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นบรรดาคนตายจะถูกให้ฟื้นคืนชีพ เพื่อรับทราบผลกรรมทั้งดีและชั่ว การตัดสินจะกระทำโดยความยุติธรรมยิ่ง บุคคลใดที่ผลการบันทึกของเขาดี ก็จะได้รับรางวัลด้วยความเอื้อเฟื้อ และได้รับการต้อนรับสู่สวนสรรค์ของอัลลอฮฺ สำหรับคนที่การบันทึกของเขามีแต่ความชั่ว ก็จะได้รับการลงโทษและขับไสไล่ส่งสู่ขุมนรก
6. มุสลิมจำต้องศรัทธามั่นในกฎกำหนดสภาวะทั้งดีและชั่ว ซึ่งอัลลอฮฺ ได้ทรงกำหนดให้แก่บรรดาสิ่งถูกสร้างและมนุษยชาติ ด้วยความรอบรู้ของพระองค์เป็นการล่วงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกวางแผนการไว้ล่วงหน้า ด้วยอำนาจและความรอบรู้ของพระองค์โดยปราศจากเวลา และไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในอาณาจักรของพระองค์นอกจากความรอบรู้และความต้องการของพระองค์ ความรอบรู้และอำนาจของพระองค์ทรงมีอยู่และปฎิบัติการได้ตลอดเวลาเหนือบ่าวและสิ่งถูกสร้างอื่น ๆ ของพระองค์ พระองค์ทรงรอบรู้เหนือทุกสรรพสิ่ง ทรงเมตตา กรุณา กิจการใด ๆ ของพระองค์ย่อมมีเป้าหมายอันดีเลิศ หากเรามีความเชื่อเช่นนี้ในจิตใจและในความคิดของเรา เราควรที่จะต้องยอมรับ ด้วยความศรัทธามั่นอย่างแท้จริงในสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิต ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่เข้าใจได้หรือคิดว่ามันไม่ดี
หลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม
การศรัทธาที่ปราศจากการปฏิบัติ ย่อมจะไร้คุณค่าตามทัศนะแห่งอิสลาม ความเชื่อมั่นโดยธรรมชาติเป็นความรู้สึกที่รับได้ง่าย และอาจจะเป็นวิถีทางที่มีผลดีที่สุด แต่เมื่อไม่ปฏิบัติหรือนำมาใช้แล้ว การมีอยู่และอำนาจแรงดลใจของมันก็จะสูญสิ้นได้โดยเร็ว
ในอิสลามมีหลักปฏิบัติห้าประการที่จำเป็นดังนี้
ชะฮาดะตัยน์
คือ การปฏิฎานตนว่า ไม่มีผู้ใดที่สมควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺองค์เดียว และมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม คือศาสนทูตของพระองค์ซึ่งถูกส่งมายังมนุษยชาติ จนกระทั่งวันแห่งการตัดสิน มุสลิมทั้งมวลจำต้องปฏิบัติตามแบบฉบับที่ดีงามของท่านศาสนทูต มูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม
เศาะลาฮฺ
หรือ นมาซ/ละหมาด คือ การสวดอ้อนวอนประจำวันห้าเวลา ดังเป็นหน้าที่ของมุสลิมทั้งชายหญิงจำต้องปฏิบัติต่ออัลลอฮฺ การปฏิบัติเศาะลาฮฺเป็นประจำจะทำให้มีความเชื่อมั่นในอัลลอฮฺมีชีวิตชีวาเพิ่มยิ่งขึ้นและจะกระตุ้นมนุษย์สู่จรรยาธรรมที่สูงส่ง นมาซยังทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง และยับยั้งจากการล่อลวงสู่ความประพฤติชั่ว ผิดศีลธรรม
เศาะลาฮฺ หรือการละหมาดดังกล่าว คือ
· เศาะลาตุล ฟัจญ์รฺ หรือ นมาซศุบห์ (เวลาก่อนรุ่งสาง)
· เศาะลาตุซซุฮฺรี (เวลาหลังเที่ยง)
· เศาะลาตุลอัศร์ (เวลาบ่ายและเริ่มเข้าช่วงเย็น)
· เศาะลาตุลมัฆริบ (หลังตะวันตกดิน)
· เศาะลาตุลอิชาอ์ (เวลากลางคืน)
ซะกาต
ความหมายตามตัวง่าย ๆ ของซะกาต คือ การซักฟอก, ความบริสุทธิ์,ส่วนความหมายตามหลักวิชาการของคำ ๆ นี้ ได้ถูกกำหนดไว้สำหรับทรัพย์สินมีค่าหรือเงินทองที่ครบรอบปี ซึ่งมุสลิมผู้มีทรัพย์ครอบครองในเวลาที่ถูกกำหนดไว้จำต้องจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิที่จะได้รับแต่ความสำคัญของ ซะกาตในด้านศาสนาและจิตวิญญาณนับว่ายังมีความหมายลึกซึ้งอยู่อีกมาก ดังนั้นคุณค่าของซะกาตสามารถ ส่งผลสะท้อนต่อมนุษยชาติ และสังคม การเมือง ได้เป็นอย่างดี
เศาว์มฺ
หรือ การถือศีลอดในช่วงเดือนเราะมะฎอน ชาวมุสลิม ไม่ได้งดเว้นจากการรับประทาน, การดื่ม และการร่วมประเวณีระหว่างเวลารุ่งสางจนกระทั่งตะวันตกดินเพียงเท่านั้น แต่เขายังจำต้องงดเว้น จากการคิดที่ไม่มีศิริมงคล, ความตั้งใจที่ชั่วร้าย และความปรารถนาอื่นๆ ตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนเราะมะฎอน การถือศีลอดได้สอนให้เรามีความรัก สมัครสมาน, สามัคคี, มีความบริสุทธิ์ใจ, อุทิศเพื่อส่วนรวม, การต่อสู้และบังคับจิตใจตนเอง และยังได้สร้างความรู้สึกที่ดีต่อสังคมส่วนรวม, การอดกลั้นบังคับตนไม่ให้มีความเห็นแก่ตัวและบังคับความอยาก
ฮัจญ์
(การแสวงหาบุญ ณ เมืองมักกะฮฺ)ชาวมุสลิม จำต้องไปประกอบพิธีนี้ ณ เมืองมักกะฮฺอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต หากเขามีความสามารถ ทั้งร่างกายและทรัพย์สินใช้จ่ายในการเดินทางฮัจญ์ คือ การประชุม, การชุมนุม ประจำปีด้วยความศรัทธามั่นในพระผู้เป็นเจ้า ซึ่ง ณ ที่นั้น ชาวมุสลิมจะพบปะแสดงความรู้จักซึ่งกันและกัน, ศึกษาหรือปรึกษาหารือในกิจการทั่วๆ ไปของพวกเขา และส่งเสริมบำรุงรักษา และยกฐานะกิจการของตนให้ดีขึ้น เป็นการแสดงออกซึ่งความสามัคคีแห่งโลกอิสลาม, ภราดรภาพ และความเสมอภาคของมุสลิม
อิสลามคืออะไร? แนะนำและอธิบายอิสลามเบื้องต้นสำหรับผู้ไม่ใช่มุสลิมเพื่อทำความรู้จักอิสลามในระดับแรกเกริ่นนำด้วยภาพรวมโดยสังเขป และตามด้วยการอธิบายหลักความเชื่อและหลักปฏิบัติที่แก่นแกนของศาสนาอิสลามอย่างคร่าวๆ