وقفة مع قوله تعالى [ والذين آمنوا واتبعتهم ذريتهم بإيمان ]

أعرض المحتوى باللغة الأصلية anchor

translation ผู้เขียน : อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์
1

โบนัสสำหรับชาวสวรรค์ (สูเราะฮฺ อัฏ-ฏูร 21)

2.3 MB DOC
2

โบนัสสำหรับชาวสวรรค์ (สูเราะฮฺ อัฏ-ฏูร 21)

265 KB PDF

مقالة مترجمة إلى اللغة التايلندية مقتبسة من كتاب «الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة» للدكتور أمين بن عبد الله الشقاوي، وفيه تفسير للآية رقم 21 من سورة الطور، حيث تذكر من فضل الله وكرمه لأهل الجنة، أن المؤمنين إذا اتبعتهم ذرياتهم في الإيمان يلحقهم بآبائهم في المنزلة، وإن لم يبلغوا عملهم، لتقر أعين الآباء بالأبناء عندهم في منازلهم.

    โบนัสสำหรับชาวสวรรค์

    ] ไทย – Thai – تايلاندي [

    ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

    แปลโดย : อับดุศศอมัด อัดนาน

    ตรวจทานโดย : ยูซุฟ อบูบักรฺ

    ที่มา : หนังสือ อัด-ดุรอร อัล-มุนตะกอฮฺ มิน อัล-กะลีมาต อัล-
    มุลกอฮฺ

    2014 - 1435

    وقفة مع قوله تعالى

    ﴿وَٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ وَٱتَّبَعَتۡهُمۡ ذُرِّيَّتُهُم بِإِيمَٰنٍ﴾

    « باللغة التايلاندية »

    د. أمين بن عبدالله الشقاوي

    ترجمة: عبدالصمد عدنان

    مراجعة: يوسف أبوبكر

    المصدر: كتاب الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة

    2014 - 1435

    ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

    เรื่องที่ 89

    โบนัสสำหรับชาวสวรรค์ (สูเราะฮฺ อัฏ-ฏูร 21)

    การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ การสดุดีและความศานติจงมีแด่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รับการภักดีนอกจากอัลลอฮฺเพียงผู้เดียว โดยไม่มีภาคีหุ้นส่วนอันใดสำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่าท่านนบีมุหัมมัดคือบ่าวของอัลลอฮฺและเป็นศาสนทูตของพระองค์...

    อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า

    ﴿ وَٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ وَٱتَّبَعَتۡهُمۡ ذُرِّيَّتُهُم بِإِيمَٰنٍ أَلۡحَقۡنَا بِهِمۡ ذُرِّيَّتَهُمۡ وَمَآ أَلَتۡنَٰهُم مِّنۡ عَمَلِهِم مِّن شَيۡءٖۚ كُلُّ ٱمۡرِيِٕۢ بِمَا كَسَبَ رَهِينٞ ٢١ ﴾ [الطور: ٢١]

    ความว่า “และบรรดาผู้ศรัทธาที่บรรดาลูกหลานของพวกเขาดำเนินตามพวกเขาด้วยการศรัทธา เราจะให้ลูกหลานของพวกเขาอยู่ร่วมกับพวกเขา และเราจะไม่ให้การงานของพวกเขาลดหย่อนลงจากพวกเขาแต่อย่างใด แต่ละคนย่อมได้รับการค้ำประกันในสิ่งที่เขาขวนขวายไว้” (อัฏ-ฏูร : 21 )

    อิบนุกะษีร ได้อธิบายว่า “อัลลอฮฺได้บอกกล่าวเกี่ยวกับความประเสริฐ เกียรติยศอันสูงส่ง และความโปรดปรานของพระองค์ว่า หากลูกหลานของบรรดาผู้ศรัทธามีความศรัทธามั่นเช่นเดียวกับพวกเขาแล้ว อัลลอฮฺจะทรงยกสถานะของพวกเขาเช่นเดียวกับเหล่าบรรพบุรุษ ถึงแม้ว่าลูกหลานเหล่านั้นมีการงานที่น้อยกว่าบรรพบุรุษก็ตาม กล่าวคือเพื่อที่จะให้บรรพบุรุษมีความสุขใจกับแก้วตาดวงใจของพวกเขา อัลลอฮฺจะรวบรวมพวกเขาไว้ในสถานที่เดียวกัน ซึ่งพระองค์จะตอบแทนแก่ลูกหลานอย่างเต็มเปี่ยมทั้งที่ได้ปฏิบัติน้อยกว่า โดยที่มิได้ลดหย่อนการตอบแทนแก่บรรพบุรุษแต่ประการใด” (ตัฟซีรอิบนุกะษีร เล่ม : 4 หน้า : 241)

    อิบนุอับบาส ได้ให้ความหมายว่า “อัลลอฮฺจะทรงยกสถานะลูกหลานของผู้ศรัทธาในระดับเดียวกันกับเขา แม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติการงานน้อยกว่าก็ตาม เพื่อที่จะให้เขามีความมีความรื่นรมย์ใจ แล้วท่านก็อ่านโองการที่ว่า ﴿ وَٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ وَٱتَّبَعَتۡهُمۡ ذُرِّيَّتُهُم (ตัฟซีรอิบนุกะษีร เล่ม : 4 หน้า : 241 )

    อิบนุกะษีร ได้อรรถาธิบายว่า “นี่คือความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อลูกหลานอันเนื่องจากความสิริมงคล (บะเราะกะฮฺ) ในการงานของบรรดาบรรพบุรุษ ส่วนความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อบรรพบุรุษก็เนื่องด้วยความสิริมงคล (บะเราะกะฮฺ) จากดุอาอ์ของบรรดาลูกหลาน ดังปรากฏรายงานในมุสนัดของอิหม่ามอะหฺมัดจากอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮู เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

    «إِنَّ اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ لَيَرْفَعُ الدَّرَجَةَ لِلْعَبْدِ الصَّالِحِ فِي الْجَنَّةِ، فَيَقُولُ: يَا رَبِّ أَنَّى لِي هَذِهِ؟ فَيَقُولُ: بِاسْتِغْفَارِ وَلَدِكَ لَكَ» [رواه أحمد]

    ความว่า ”แน่นอนอัลลอฮฺจะยกสถานะแก่บ่าวผู้ทรงคุณธรรมในสวรรค์ เขาจึงถามว่า โอ้อัลลอฮฺฉันได้รับสิ่งตอบแทนอันมากมายเหล่านี้มาอย่างไร? อัลลอฮฺจึงตรัสตอบว่า อันเนื่องจากการขออภัยโทษโดยลูกของเจ้าให้แก่เจ้า” (บันทึกโดยอะหฺมัดเล่ม : 16 หน้า : 356-357) (ดูตัฟซีรอิบนุกะษีร เล่ม : 4 หน้า : 242)

    และท่านนบี ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

    « إِذَا مَاتَ الإِنْسَانُ انْقَطَعَ عَنْهُ عَمَلُهُ إِلاَّ مِنْ ثَلاَثٍ: إِلاَّ مِنْ صَدَقَةٍ جَارِيَةٍ، أَوْ عِلْمٍ يُنْتَفَعُ بِهِ، أَوْ وَلَدٍ صَالِحٍ يَدْعُو لَهُ ». [رواه مسلم]

    ความว่า ”เมื่อมนุษย์คนหนึ่งได้เสียชีวิตลงภาคผลบุญจากการงานของเขาก็จะสิ้นสุดลง นอกจากการงานสามประการที่จะได้รับภาคผลอย่างต่อเนื่อง คือ การบริจาคทานถาวร (เศาะดะเกาะฮฺญาริยะฮฺ) วิชาความรู้ที่ยังประโยชน์ และลูกที่ดี (ศอลิฮฺ) ที่ขอดุอาอ์ให้แก่เขา” (บันทึกโดยมุสลิมหน้า : 270 หมายเลข : 1631)

    ความหมายโองการที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา กล่าวว่า

    ﴿ كُلُّ ٱمۡرِيِٕۢ بِمَا كَسَبَ رَهِينٞ ٢١ ﴾ [الطور: ٢١]

    ความว่า “แต่ละคนย่อมได้รับการค้ำประกันในสิ่งที่เขาขวนขวายไว้” (อัฏ-ฏูร : 21)

    หมายถึง เมื่ออัลลอฮฺได้บอกถึงสถานะอันประเสริฐ ที่ได้ยกระดับสถานะบรรดาลูกหลานของผู้ศรัทธาให้เท่าเทียมกับบรรพบุรุษ ทั้งที่มีการงานที่น้อยกว่า อัลลอฮฺจึงได้บอกถึงความยุติธรรมของพระองค์ กล่าวคือจะไม่เอาความผิดของใครคนหนึ่งให้แก่ใครอีกคน ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า

    ﴿ كُلُّ ٱمۡرِيِٕۢ بِمَا كَسَبَ رَهِينٞ ٢١ ﴾ [الطور: ٢١]

    กล่าวคือในแต่ละคนย่อมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาได้ขวนขวายไว้ โดยจะไม่รับผิดชอบความผิดของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือลูกก็ตาม ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า

    ﴿ كُلُّ نَفۡسِۢ بِمَا كَسَبَتۡ رَهِينَةٌ ٣٨ إِلَّآ أَصۡحَٰبَ ٱلۡيَمِينِ ٣٩ فِي جَنَّٰتٖ يَتَسَآءَلُونَ ٤٠ عَنِ ٱلۡمُجۡرِمِينَ ٤١ ﴾ [المدثر: ٣٨-٤١]

    ความว่า “แต่ละชีวิตย่อมถูกค้ำประกันกับสิ่งที่มันขวนขวายไป ยกเว้นบรรดาผู้อยู่เบื้องขวา อยู่ในสวนสวรรค์หลากหลาย พวกเขาจะไต่ถามซึ่งกันและกัน เกี่ยวกับพวกที่กระทำความผิด” (อัล-มุดดัษษิร : 38-41)

    คำสอนที่ได้รับจากโองการเหล่านี้

    1. การที่ลูกหลานของผู้ศรัทธาจะได้รับเกียรติให้อยู่ร่วมกันกับพวกเขานั้น มีเงื่อนไขว่าบรรดาลูกหลานจะต้องมีศรัทธา หากปราศจากความศรัทธาแล้วคุณงามความดีของบรรพบุรุษไม่มีประโยชน์อันใดต่อพวกเขา ดังที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

    ﴿ إِنَّ ٱلَّذِينَ كَذَّبُواْ بِايَٰتِنَا وَٱسۡتَكۡبَرُواْ عَنۡهَا لَا تُفَتَّحُ لَهُمۡ أَبۡوَٰبُ ٱلسَّمَآءِ وَلَا يَدۡخُلُونَ ٱلۡجَنَّةَ حَتَّىٰ يَلِجَ ٱلۡجَمَلُ فِي سَمِّ ٱلۡخِيَاطِۚ وَكَذَٰلِكَ نَجۡزِي ٱلۡمُجۡرِمِينَ ٤٠ ﴾ [الأعراف : 40]

    ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธโองการต่างๆ ของเรา และได้แสดงความโอหังต่อโองการเหล่านั้น บรรดาประตูแห่งฟากฟ้าจะไม่ถูกเปิดให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าอูฐจะลอดเข้าไปในรูเข็มได้ และในทำนองนั้นแหละ เราจะตอบแทนด้วยการลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด” (อัล-อะอฺรอฟ : 40 )

    และอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสอีกว่า

    ﴿ فَمَا تَنفَعُهُمۡ شَفَٰعَةُ ٱلشَّٰفِعِين﴾ [المدثر : 48]

    ความว่า “ดังนั้นการขอชะฟาอะฮฺของบรรดาผู้มีชะฟาอะฮฺทั้งหลายจะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่พวกเขา” (อัล-มุดดัษษิร : 48 )

    อิหม่ามอัล-บุคอรีย์ได้บันทึกหะดีษจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮู เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

    «يَلْقَى إِبْرَاهِيمُ أَبَاهُ آزَرَ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَعَلَى وَجْهِ آزَرَ قَتَرَةٌ وَغَبَرَةٌ ، فَيَقُولُ لَهُ إِبْرَاهِيمُ : أَلَمْ أَقُلْ لَكَ لَا تَعْصِنِي، فَيَقُولُ أَبُوهُ : فَالْيَوْمَ لَا أَعْصِيكَ ، فَيَقُولُ إِبْرَاهِيمُ : يَا رَبِّ إِنَّكَ وَعَدْتَنِي أَنْ لَا تُخْزِيَنِي يَوْمَ يُبْعَثُونَ فَأَيُّ خِزْيٍ أَخْزَى مِنْ أَبِي الْأَبْعَدِ؟، فَيَقُولُ اللَّهُ تَعَالَى : إِنِّي حَرَّمْتُ الْجَنَّةَ عَلَى الْكَافِرِينَ، ثُمَّ يُقَالُ : يَا إِبْرَاهِيمُ مَا تَحْتَ رِجْلَيْكَ، فَيَنْظُرُ فَإِذَا هُوَ بِذِيخٍ مُلْتَطِخٍ فَيُؤْخَذُ بِقَوَائِمِهِ فَيُلْقَى فِي النَّارِ» [رواه البخاري]

    ความว่า “ในวันกิยามะฮฺเมื่อท่านนบีอิบรอฮีมได้พบกับบิดาของท่านที่ชื่ออาซัร โดยที่ใบหน้าของอาซัรหมองคล้ำเต็มไปด้วยฝุ่นดำมิด ท่านนบีอิบรอฮีมกล่าวว่า ฉันได้บอกกับพ่อแล้วใช่ไหมว่าให้เชื่อฟังฉัน อาซัรกล่าวว่า ต่อไปนี้ฉันจะเชื่อฟังและไม่ฝ่าฝืนต่อเจ้าแล้ว ท่านนบีอิบรอฮีมจึงพูดว่า โอ้อัลลอฮฺพระองค์ได้ให้สัญญากับฉันว่าจะไม่ให้ฉันพบกับความอัปยศ แล้วจะมีความอัปยศอันใดเล่าที่จะเลวยิ่งไปกว่าการที่ฉันไม่สามารถช่วยเหลือพ่อของฉันได้ อัลลอฮฺจึงตรัสว่า แท้จริงฉันจะไม่ให้ผู้ปฏิเสธเข้าสวรรค์ อิบรอฮีมเอ๋ย ก้มลงมองดูที่เท้าของเจ้าซิว่ามีอะไรอยู่? แล้วเขาก็มองดูพบว่า(อาซัรถูกทำให้กลายร่าง)เป็นหมาในตัวผู้ที่เปื้อนไปด้วยสิ่งโสโครก (นะญิส) ทั้งตัว (อิบรอฮีมจึงตัดใจจากพ่อของตน) และแล้วมันก็ถูกจับโยนลงไปในไฟนรก” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลข : 3350)

    2. แท้จริงความโปรดปรานของอัลลอฮฺช่างใหญ่หลวงนัก โดยที่มันจะไม่บั่นทอนในการตอบแทนแก่บ่าวผู้ศรัทธาแต่อย่างใด ทว่าจะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณหลายๆ เท่า ดังที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

    ﴿ وَمَآ أَلَتۡنَٰهُم مِّنۡ عَمَلِهِم مِّن شَيۡءٖۚ كُلُّ ٱمۡرِيِٕۢ بِمَا كَسَبَ رَهِينٞ ﴾ [الطور : 21]

    ความว่า “และเราจะไม่ให้การงานของพวกเขาลดหย่อนไปจากพวกเขาแต่อย่างใด แต่ละคนย่อมได้รับการค้ำประกันในสิ่งที่เขาได้ขวนขวายไว้” (อัฏ-ฏูร : 21 )

    และอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสอีกว่า

    ﴿ فَٱسۡتَجَابَ لَهُمۡ رَبُّهُمۡ أَنِّي لَآ أُضِيعُ عَمَلَ عَٰمِلٖ مِّنكُم مِّن ذَكَرٍ أَوۡ أُنثَىٰۖ بَعۡضُكُم مِّنۢ بَعۡضٖۖ ...[آل عمران : 195]

    ความว่า “แล้วพระเจ้าของพวกเขาก็ตอบรับพวกเขาว่า แท้จริงข้าจะไม่ให้สูญเสียซึ่งงานของผู้ทำงานคนหนึ่งคนใดในกลุ่มพวกเจ้า ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม โดยที่บางส่วนของพวกเจ้านั้นมาจากอีกบางส่วน” (อาล อิมรอน : 195 )

    และอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสอีกว่า

    ﴿ وَمَن يَعۡمَلۡ مِنَ ٱلصَّٰلِحَٰتِ وَهُوَ مُؤۡمِنٞ فَلَا يَخَافُ ظُلۡمٗا وَلَا هَضۡمٗا ﴾ [طه : 112]

    ความว่า “และผู้ที่ประกอบคุณงามความดีทั้งหลายในสภาพที่เขาเป็นผู้ศรัทธา เขาจะไม่กลัวความอธรรมและการบั่นทอนอันใด” (ฏอฮา : 112 )

    อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสอีกว่า

    ﴿ وَنَضَعُ ٱلۡمَوَٰزِينَ ٱلۡقِسۡطَ لِيَوۡمِ ٱلۡقِيَٰمَةِ فَلَا تُظۡلَمُ نَفۡسٞ شَيۡئًاۖ وَإِن كَانَ مِثۡقَالَ حَبَّةٖ مِّنۡ خَرۡدَلٍ أَتَيۡنَا بِهَاۗ وَكَفَىٰ بِنَا حَٰسِبِينَ ٤٧ ﴾ [الأنبياء : 47]

    ความว่า “และเราจะตั้งตราชูที่เที่ยงธรรมสำหรับวันกิยามะฮฺ ดังนั้น จะไม่มีชีวิตใดถูกอธรรมแต่อย่างใดเลย และแม้ว่ามันเป็นเพียงน้ำหนักเท่าเมล็ดพืช เราก็จะนำมันมาแสดง และเป็นการพอเพียงแล้วสำหรับเราที่เป็นผู้ชำระสอบสวน” (อัล-อัมบิยาอ์ : 47)

    3. เป็นการยืนยันว่าอัลลอฮฺทรงมีความยุติธรรมมากที่สุด โดยที่พระองค์จะไม่เอาโทษใครต่อความผิดของผู้อื่น อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

    ﴿تِلۡكَ أُمَّةٞ قَدۡ خَلَتۡۖ لَهَا مَا كَسَبَتۡ وَلَكُم مَّا كَسَبۡتُمۡۖ وَلَا تُسۡئلونَ عَمَّا كَانُواْ يَعۡمَلُونَ ﴾ [البقرة : 141]

    ความว่า “นั่นคือ กลุ่มชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายเอาไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเขา และสิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายเอาไว้ก็ย่อมเป็นของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวน ถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นปฏิบัติกัน” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 141 )

    และอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

    ﴿أَلَّا تَزِرُ وَازِرَةٞ وِزۡرَ أُخۡرَىٰ ﴾ [النجم : 38]

    ความว่า “ไม่มีผู้ใดที่จะถูกลงโทษอันเนื่องจากความผิดของผู้อื่น และความผิดของเขาก็จะไม่มีใครที่ไปแบกภาระแทนเขาได้” (อัล-นัจญ์มุ : 38 )

    4. โองการนี้นับได้ว่าเป็นข่าวดีที่สร้างความปลื้มปีติแก่บรรดาผู้ศรัทธา อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

    ﴿ قُلۡ بِفَضۡلِ ٱللَّهِ وَبِرَحۡمَتِهِۦ فَبِذَٰلِكَ فَلۡيَفۡرَحُواْ هُوَ خَيۡرٞ مِّمَّا يَجۡمَعُونَ ﴾ [يونس : 58]

    ความว่า “จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮฺ และด้วยความเมตตาของพระองค์ ดังกล่าวนั้น พวกเขาพึงดีใจเถิด ซึ่งมันดียิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาได้สะสมไว้” (ยูนุส : 58 )

    5. ส่งเสริมให้เอาใจใส่ในการอบรมดูแลลูกหลานตามคำสอนแห่งอิสลาม เช่น เรื่องการประกอบอิบาดะฮฺที่ถูกต้อง การเอาใจใส่ในการทำอิบาดะฮฺของลูกๆ การส่งบุตรหลานให้เรียนและท่องจำอัลกุรอาน การอบรมบ่มนิสัยที่ดีๆ การปกป้องจากพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งปวง และการหมั่นขอดุอาอ์ให้แก่บุตรหลานเป็นคนดีและอยู่ในทางนำที่ถูกต้องอยู่เสมอ เผื่อว่าบิดามารดาจะได้รับคุณงามความดีอันเนื่องจากพวกเขาทั้งในโลกนี้และโลกอาคิเราะฮฺ อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

    ﴿ وَٱلَّذِينَ يَقُولُونَ رَبَّنَا هَبۡ لَنَا مِنۡ أَزۡوَٰجِنَا وَذُرِّيَّٰتِنَا قُرَّةَ أَعۡيُنٖ وَٱجۡعَلۡنَا لِلۡمُتَّقِينَ إِمَامًا ﴾ [الفرقان : 74]

    ความว่า “และบรรดาผู้ที่กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ขอพระองค์โปรดประทานให้คู่ครองและลูกหลานของเรา เป็นที่รื่นรมย์แก่สายตาของเรา และทรงทำให้เราเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้ยำเกรงด้วยเถิด” (อัล-ฟุรกอน : 74 )

    ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

    «مُرُوا أَوْلَادَكُمْ بِالصَّلَاةِ وَهُمْ أَبْنَاءُ سَبْعِ سِنِينَ، وَاضْرِبُوهُمْ عَلَيْهَا وَهُمْ أَبْنَاءُ عَشْرٍ، وَفَرِّقُوا بَيْنَهُمْ فِي الْمَضَاجِعِ» [رواه أبوداود]

    ความว่า”ท่านทั้งหลายจงสั่งใช้ให้บรรดาลูกๆ ละหมาดเมื่อพวกเขามีอายุเจ็ดปี และจงลงโทษพวกเขา (ในกรณีที่พวกเขาละเลย) เมื่อมีอายุได้สิบปี และจงแยกที่นอนของพวกเขาเถิด (ระหว่างชายหญิง)( บันทึกโดยอบูดาวูด เล่ม : 1 หมายเลข : 495)

    ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวอีกว่า

    «خَيْرُكُمْ مَنْ تَعَلَّمَ الْقُرْآنَ وَعَلَّمَهُ» [رواه البخاري]

    ความว่า “ผู้ที่ดีที่สุดในกลุ่มพวกเจ้า คือ ผู้ที่เรียนและสอนอัลกุรอาน” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลข : 5027)

    والحمد لله رب العالمين ،

    وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين .

    หมวดหมู่