هجرة الرسول صلى الله عليه وسلم كانت في ربيع الأول ولم تكن في شهر الله المحرم
أعرض المحتوى باللغة الأصلية
مقالة تبين الخطأ المنتشر بين الناس ، وهو أن النبي - صلى الله عليه وسلم - لم تكن هجرته في بداية السنة المعروفة بالسنة الهجرية ، وعند المحرم يحتفل الناس بالهجرة ويحتفلون ببداية السنة والصحيح أنه لا علاقة بين بداية السنة الهحرية وبين الهجرة. وفي المقالة فتوى الشيخ عبدالعزيز بن باز في حكم الاحتفال ببداية السنة الهجرية.
การฮิจญ์เราะฮฺของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เกิดขึ้นในเดือนเราะบีอุลเอาวัลไม่ใช่มุหัรร็อม
] ไทย – Thai – تايلاندي [
มุหัมมัด สะอฺด์ อับดุลดายิม
แปลโดย : ฟัยซอล อับดุลฮาดีย์
ตรวจทานโดย : ซุฟอัม อุษมาน
ที่มา : เว็บไซต์ saaid.net
2012 - 1434
هجرة الرسول ﷺ كانت في ربيع الأول ولم تكن في المحرم
« باللغة التايلاندية »
محمد سعد عبد الدايم
ترجمة: فيصل عبد الهادي
مراجعة: صافي عثمان
المصدر: موقع صيد الفوائد
2012 - 1434
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
การสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ขอพรอันประเสริฐและความศานติจงมีแด่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ
มีเรื่องที่เป็นความเข้าใจผิดที่แพร่หลายในหมู่ผู้คนทั่วไป นั่นคือการคิดว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้อพยพ (จากมะดีนะฮฺไปยังมักกะฮฺ) ในต้นปีของปีฮิจญ์เราะฮฺศักราช แล้วก็มีการเฉลิมฉลองในเดือนมุหัรร็อมเนื่องในโอกาสการอพยพของท่าน ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และเนื่องในโอกาสปีใหม่
แต่ที่ถูกต้องแล้ว มันไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ เลยระหว่างต้นปีกับการอพยพของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
และในเรื่องนี้ เราจะขออธิบาโดยสรุปสามหัวข้อต่อไปนี้
- การอพยพเกิดขึ้นในเดือนมุหัรร็อม
- ทำไมมุหัรร็อมถึงเป็นต้นเดือนของปีฮิจญ์เราะฮฺศักราช
- หุก่มการเฉลิมฉลองปีฮจญ์เราะฮฺศักราชใหม่
การอพยพของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เกิดขึ้นในเดือนเราะบีอุลเอาวัลไม่ใช่มุหัรร็อม
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เดินทางมาถึงเมืองมะดีนะฮฺในวันจันทร์ช่วงสายตอนแสงแดงร้อนจัด วันที่ 12 เดือนเราะบีอุลเอาวัล
ท่านอิบนุ ฮิชามกล่าวว่า: “จนกระทั่งเขา(อับดุลลอฮฺ อิบนุ อัรก็อฏ)ได้เดินทางพร้อมกับท่านทั้งสอง(ท่านนบีและอบูบักรฺ)ถึง “บัฏนฺ ริอฺมฺ” หลังจากนั้น เขาก็พาท่านทั้งสองถึงกุบาอ์ ณ เผ่าอัมรฺ อิบนุ เอาฟฺ ในวันที่ 12 เดือนเราะบีอุลเอาวัล วันจันทร์ ในตอนสายแดดจัดใกล้เที่ยง” [สีเราะฮฺ อิบนิฮิชาม, 1/490]
ท่านอิบนุสะอฺดฺกล่าวว่า: “ท่านมุหัมมัด อิบนุ อุมัรฺ เล่าให้ฉันฟัง จากอบูบักรฺ อิบนุ อบีสับเราะฮฺและคนอื่นๆ พวกเขาได้เล่าว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้วิงวอนต่ออัลลอฮฺให้ท่านได้เห็นสวรรค์และนรก และเมื่อถึงคืนวันเสาร์ที่17เดือนเราะมะฎอนก่อนการฮิจญ์เราะฮฺ 18 เดือน...(นั่นคือเดือนเราะบีอุลเอาวัล)” [อัฏ-เฏาะบะกอต อัล-กุบรอ, 1/213]
ท่านอิบนุ กะษีรกล่าวว่า: “อะหฺมัดกล่าวว่า รูหฺ อิบนุ อุบาดะฮฺ กล่าวว่า ซะกะรียา อิบนุ อิสหาก เล่าว่า อัมรฺ อิบนุ ดีนารฺ กล่าวว่า: แท้จริงคนแรกที่บันทึกวันที่ในสารคือยะอฺลา อิบนุ อุมัยยะฮฺ จากเยเมน และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เดินทางถึงมะดีนะฮฺในเดือนเราะบีอุลเอาวัล และผู้คนก็ได้บันทึกปีนั้นให้เป็นปีแรก” [อัส-สีเราะฮฺ อัน-นะบะวียะฮฺ, 2/288]
ท่านอิบนุกะษีรกล่าวอีกว่า: “แล้วท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็มาถึง (มะดีนะฮฺ) ในวันจันทร์ในตอนสายแก่ใกล้เวลาบ่าย” [อัส-สีเราะฮฺ อัน-นะบะวียะฮฺ, 2/290]
อัล-วากิดียฺและคนอื่นๆ กล่าวว่า: “และนั่นคือ(ท่านนบีเดินทางถึงมะดีนะฮฺ)วันที่สองเดือนเราะบีอุลเอาวัล” [อัส-สีเราะฮฺ อัน-นะบะวียะฮฺ, 2/290]
อิบนุอิสหากกล่าวว่า: “และให้น้ำหนักว่าเป็นวันที่สิบสองเดือนเราะบีอุลเอาวัล ซึ่งเป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่” [อัส-สีเราะฮฺ อัน-นะบะวียะฮฺ, 2/290]
การริเริ่มปฏิทินอิสลาม
มุหัมมัด อิบนุ สีรีนกล่าวว่า: มีชายคนหนึ่งไปหาท่านอุมัร แล้วกล่าวว่า จงทำบันทึกปีศักราชเถิด ท่านอุมัรถามว่า ปีศักราชอะไร? เขาตอบว่า สิ่งหนึ่งที่ชาวต่างชาติทำกัน เดือนนั้น ปีนั้น อุมัรตอบกลับไปว่า ดี ดังนั้นจงทำเถิด และพวกเขาก็เห็นพ้องกันว่า จะเอาปีของการอพยพเป็นปีแรกของศักราช แล้วพวกเขาก็ถามกันว่า จะเอาเดือนไหน ? พวกเขาตอบว่า เดือนมุหัรร็อม เป็นเดือนที่ผู้คนต่างเสร็จสิ้นจากการประกอบพิธีหัจญ์ และเป็นเดือนต้องห้าม และพวกเขาก็เห็นพ้องในเรื่องดังกล่าว [อัส-สีเราะฮฺ อัน-นะบะวียะฮฺ, 2/288]
เมื่อครั้งที่เศาะหาบะฮฺทำการบันทึกปฏิทินนั้น พวกเขาได้ยึดปีของการอพยพของท่านนบีเป็นปีแรก ไม่ใช่ยึดเดือนหรือวันที่ท่านนบีอพยพแต่อย่างใด ดังที่บางคนเข้าใจ หลังจากนั้น พวกเขาก็เลือกเดือนมุหัรร็อมเป็นเดือนต้นปี เพราะบรรดาผู้ประกอบพิธีหัจญ์ได้เสร็จสิ้นจากการทำหัจญ์ และไม่มีความเกี่ยวข้องอย่างใดระหว่างเดือนที่ทำการอพยพกับการกำหนดเดือนมุหัรร็อมเป็นเดือนต้นปี
ท่านอิบนุกะษีรกล่าวว่า: “อัส-สุฮัยลียฺและคนอื่นๆ ได้เล่าจากอิมามมาลิกว่าท่านได้กล่าวว่า ต้นปีแรกของอิสลามคือ เราะบีอุลเอาวัล เพราะเป็นเดือนที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำการอพยพ”
อัส-สุฮัยลียฺได้อ้างหลักฐานจากคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
﴿لَمَسْجِدٌ أُسِّسَ عَلَى التَّقْوَى مِنْ أَوَّلِ يَوْمٍ﴾ [التوبة : 108]
ความว่า: “แน่นอน มัสญิดที่ถูกวางรากฐานบทความยำเกรงตั้งแต่วันแรกนั้น” [อัต-เตาบะฮฺ, 9 : 108]
นั่นคือ วันแรกที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ย่างกายสู่มะดีนะฮฺ ซึ่งเป็นวันแรกของประวัติศาสตร์ ดังที่เศาะหาบะฮฺเห็นพ้องว่าปีนั้นเป็นปีแรกของปีอิสลาม
และไม่ต้องสงสัยเลยว่า คำกล่าวของอิมามมาลิกนั้นเหมาะสม แต่ที่ถูกนำมาปฏิบัตินั้นตรงกันข้าม ทั้งนี้ เพราะเดือนแรกของชาวอาหรับในสมัยนั้นคือมุหัรร็อม พวกเขาเลยเอาเดือนนี้เป็นเดือนแรกของปีฮิจญ์เราะฮฺศักราช ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนระหว่างผู้คน –วัลลอฮุอะอฺลัม-
การเฉลิมฉลองต้นปีใหม่
ชัยคฺอิบนุบาซ ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน ได้กล่าวว่าด้วยพระนามของอัลลอฮฺ มวลการสรรเสริญทั้งหลายเป็นสิทธิของพระองค์ การเศาะละวาตและความศานติจนมีแด่เราะสูลุลลอฮฺ ตลอดจนวงศ์วาน, เศาะหาบะฮฺ, และผู้ที่ตามแนวทางของท่าน
ฉันได้ดูสิ่งที่พี่น้องฟะรีด อิบนุ อับดุลหะฟีซ มิยาญาน ได้เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ “อัล-มะดีนะฮฺ” ฉบับวันที่ 15/2/1415 ฮ.ศ.ซึ่งเป็นบทความสนับสนุนการจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสต่างๆ ของศาสนาที่เขียนโดยอับดุลลอฮฺ อบุลสัมหฺ
ฉันเห็นว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่ฉันจะต้องตักเตือนความคลาดเคลื่อนของเขาทั้งสอง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตักเตือนเพื่ออัลลอฮฺและเพื่อบ่าวของพระองค์ อีกทั้งเพื่อเป็นการปฏิบัติตามคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
﴿ وَٱلۡعَصۡرِ ١ إِنَّ ٱلۡإِنسَٰنَ لَفِي خُسۡرٍ ٢ إِلَّا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ وَعَمِلُواْ ٱلصَّٰلِحَٰتِ وَتَوَاصَوۡاْ بِٱلۡحَقِّ وَتَوَاصَوۡاْ بِٱلصَّبۡرِ ٣ ﴾ [العصر: ١-٣]
ความว่า: “ขอสาบานด้วยกาลเวลา แท้จริงมนุษย์นั้นอยู่ในความขาดทุน นอกจากบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย และตักเตือนกันลักันในสิ่งที่เป็นสัจธรรม และตักเตือนกันและกันให้มีความอดทน” [อัล-อัศรฺ, 103 : 1-3]
และคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า
«الدين النصيحة ، الدين النصيحة ، الدين النصيحة . قيل : لمن يا رسول الله ؟ قال : لله ولكتابه ولرسوله ولأئمة المسلمين وعامتهم» [رواه مسلم وغيره]
ความว่า: “ศาสนาคือการตักเตือน ศาสนาคือการตักเตือน ศานาคือการตักเตือน มีคนถามว่า เพื่อใครโอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ท่านตอบว่า เพื่ออัลลอฮฺ, เพื่อคัมภีร์ของพระองค์, เพื่อเราะสูลของพระองค์, เพื่อบรรดาผู้นำของบรรดามุสลิม, และผู้คนทั่วไป” [บันทึกโดยมุสลิมและคนอื่นๆ]
และแท้จริง อัลลอฮฺได้ทรงห้ามการพูดถึงพระองค์โดยไม่มีความรู้ และได้ทรงสำทับเตือนในเรื่องนี้แก่บ่าวของพระองค์ ดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า
﴿ قُلۡ إِنَّمَا حَرَّمَ رَبِّيَ ٱلۡفَوَٰحِشَ مَا ظَهَرَ مِنۡهَا وَمَا بَطَنَ وَٱلۡإِثۡمَ وَٱلۡبَغۡيَ بِغَيۡرِ ٱلۡحَقِّ وَأَن تُشۡرِكُواْ بِٱللَّهِ مَا لَمۡ يُنَزِّلۡ بِهِۦ سُلۡطَٰنٗا وَأَن تَقُولُواْ عَلَى ٱللَّهِ مَا لَا تَعۡلَمُونَ ٣٣ ﴾ [الأعراف: ٣٣]
ความว่า: “จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ว่า แท้จริงสิ่งที่พระเจ้าของฉันทรงห้ามฉันนั้น คือบรรดาสิ่งที่ชั่วช้าน่ารังเกียจ ทั้งเป็นสิ่งที่เปิดเผยจากมันและสิ่งที่ไม่เปิดเผย และสิ่งที่เป็นบาป และการข่มเหงรังแกโดยไม่เป็นธรรม และการที่พวกเจ้าฝห้เป็นภาคีแก่อัลลอฮฺซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานใดๆ ลงมาแก่สิ่งนั้น และการที่พวกเจ้ากล่าวใส่ร้ายแก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้” [อัล-อะอฺรอฟ, 7 : 33]
และพระองค์ได้ตรัสอีกว่า
﴿ وَلَا تَقۡفُ مَا لَيۡسَ لَكَ بِهِۦ عِلۡمٌۚ إِنَّ ٱلسَّمۡعَ وَٱلۡبَصَرَ وَٱلۡفُؤَادَ كُلُّ أُوْلَٰٓئِكَ كَانَ عَنۡهُ مَسُۡٔولٗا ٣٦ ﴾ [الإسراء: ٣٦]
ความว่า: “และอย่าติดตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงหู ตา และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน” [อัล-อิสรออ์, 17 : 36]
และไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเชิญชวนเพื่อการเฉลิมฉลองเนื่องในวาระต่างๆ ของอิสลามนั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านไม่เคยปฏิบัติไว้เป็นแบบอย่าง ฉะนั้น ถือเป็นสิ่งอุตริขึ้นมาใหม่ในศาสนา และเป็นส่วนหนึ่งในสาเหตุของความสุดโต่งในศาสนาของอัลลอฮฺ และเป็นการบัญญัติอิบาดะฮฺในสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ได้บัญญัติ และการงานบางอย่างนอกจากจะเป็นบิดอะฮฺแล้ว ยังเป็นสื่อที่จะนำไปสู่ชิริกใหญ่อีกด้วย เช่น การจัดเฉลิมฉลองเนื่องด้วยวันเกิดของท่านนบี, วันเกิดของเศาะหาบะฮฺ, และวันเกิดของบรรดาผู้รู้ เป็นต้น
อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ قُلۡ إِن كُنتُمۡ تُحِبُّونَ ٱللَّهَ فَٱتَّبِعُونِي يُحۡبِبۡكُمُ ٱللَّهُ وَيَغۡفِرۡ لَكُمۡ ذُنُوبَكُمۡۚ ﴾ [آل عمران: ٣١]
ความว่า: “จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิยัติตตามฉัน อัลลอฮฺก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงให้อภัยแก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ” [อัล-อะอฺรอฟ : 3/31]
พระองค์ตรัสอีกว่า
﴿ أَمۡ لَهُمۡ شُرَكَٰٓؤُاْ شَرَعُواْ لَهُم مِّنَ ٱلدِّينِ مَا لَمۡ يَأۡذَنۢ بِهِ ٱللَّهُۚ وَلَوۡلَا كَلِمَةُ ٱلۡفَصۡلِ لَقُضِيَ بَيۡنَهُمۡۗ وَإِنَّ ٱلظَّٰلِمِينَ لَهُمۡ عَذَابٌ أَلِيمٞ ٢١ ﴾ [الشورى: ٢١]
ความว่า: หรือว่าพวกเขามีภาคีต่างๆ ที่ได้กำหนดศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮฺมิได้ทรงอนุมัติ และหากมิใช่ลิขิตแห่งการตัดสิน (ที่ได้กำหนดไว้ก่อนแล้ว) ก็คงได้มีการตัดสินในระหว่างพวกเขา แท้จริงบรรดาผู้อธรรมสำหรับพวกเขาได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด [อัช-ชูรอ, 42 : 21]
พระองค์ตรัสอีกว่า:
﴿ ثُمَّ جَعَلۡنَٰكَ عَلَىٰ شَرِيعَةٖ مِّنَ ٱلۡأَمۡرِ فَٱتَّبِعۡهَا وَلَا تَتَّبِعۡ أَهۡوَآءَ ٱلَّذِينَ لَا يَعۡلَمُونَ ١٨ ﴾ [الجاثية: ١٨]
ความว่า: แล้วเราได้ตั้งเจ้าให้อยู่บนแนวทางหนึ่งในเรื่องของศาสนาที่แท้จริง ดังนั้น จงปฏิบัติตามแนวทางนั้น และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของบรรดาผู้ไม่รู้ [อัล-ญาษิยะฮฺ, 45 : 18]
และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:
«من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد» [متفق عليه]
ความว่า: ใครก็ตามที่อุตริในกิจการของเรานี้ ซึ่งสิ่งที่ไม่ใช่จากมัน ดังนั้น มันถูกปฏิเสธ [มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ]
ท่านได้กล่าวอีกว่า
«من عمل عملا ليس عليه أمرنا فهو رد» [رواه مسلم]
ความว่า: ใครก็ตามที่ปฏิบัติการงานหนึ่งโดยไม่มีคำสั่งใช้จากเรา ดังนั้น มันถูกปฏิเสธ [บันทึกโดยมุสลิมในเศาะหี้หฺของท่าน]
และท่านได้กล่าวในคุฏบะฮฺของท่านครั้งหนึ่งว่า
«أما بعد ، فإن خير الحديث كتاب الله وخير الهدي هدي محمد صلى الله عليه وسلم وشر الأمور محدثاتها وكل بدعة ضلالة» [رواه مسلم]
ความว่า: แท้จริง คำพูดที่ดีที่สุดคือคัภีร์ของอัลลอฮฺ และแนวทางที่ดีที่สุดคือแนวทางของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และการงานที่เลวทรามที่สุดคือสิ่งอุตริ และทุกๆ บิดอะฮฺนั้นคือการหลงทาง [บันทึกโดยมุสลิมในหนังสืออัศ-เศาะหี้หฺ]
และหะดีษในทำนองนี้มีมากมาย
ดังนั้น จำเป็นสำหรับอุละมาอ์มุสลิม นักศึกษา และมุสลิมทุกๆ คนที่จะต้องยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และระแวดระวังจากการเชิญชวนสู่สิ่งที่อัลลอฮฺไม่ได้บัญญัติ จากสิ่งที่เป็นบิดอะฮฺและสิ่งอุตริขึ้นมาใหม่ และพึงพอใจในสิ่งที่อัลลอฮฺ, เราะสูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม , เศาะหาบะฮฺ, และผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขาอย่างดีพึงพอใจ และนั่นคือความสุขและบั้นปลายที่ดี และคือทางรอดทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และห่างไกลจากการเลียนแบบศัตรูของอัลลอฮฺ พวกยิวและคริสต์ซึ่งพวกเขาได้อุตริในศาสนาของพวกเขาซึ่งอัลลอฮฺไม่ได้อนุญาต และพวกเขาก็หลงทางและทำให้คนอื่นหลงทางไปด้วย
และส่วนหนึ่งจากสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมคือการสั่งเสียในเรื่องสัจธรรมและการตักเตือนซึ่งกันและกัน และให้ความสำคัญกับการใคร่ครวญอัลกุรอานและหมั่นอ่านอัลกุรอานให้มากและให้ความสำคัญกับซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ถูกต้อง และเชิญชวนสู่เรื่องดังกล่าวทั้งด้วยคำพูดและการปฏิบัติ และทั้งในมัสญิดและที่บ้าน และให้ความสำคัญกับหัลเกาะฮฺความรู้และหมั่นศึกษาความรู้ให้มาก ทั้งนี้เพื่อคนไม่รู้จะได้รู้ คนที่ลืมจะได้รำลึก ความดีงามจะได้เพิ่มมากขึ้นและความชั่วจะลดน้อยลง ดังที่บรรดาสลัฟได้ยืนหยัดไว้และได้สั่งเสียกัน
ขอให้อัลลอฮฺทรงดลใจพวกเราและมุสลิมทุกคนสู่ความรู้ที่ยังประโยชน์และการปฏิบัติในความรู้นั้น และขอทรงปรับปรุงหัวใจและการงานของพวกเราทุกคน และทรงให้พวกเราเป็นผู้ที่ต่างตักเตือนกันและกันและเชิญชวนสู่พระองค์ด้วยความประจักษ์แจ้ง และโปรดทรงช่วยเหลือศาสนาของพระองค์และให้ถ้อยคำของพระองค์นั้นสูงส่ง และโปรดแก้ไขสภาพของมุสลิมทุกคนทั้งปวง และโปรดให้ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกเขาเป็นผู้นำพวกเขา และโปรดปรับปรุงผู้นำของพวกเขา และพระองค์คือที่พึ่งและทรงเดชานุภาพ
ขอการเศาะละวาตและความศานติจงมีแด่นบีของเรามุหัมมัด ตลอดจนวงศ์วานและเศาะหาบะฮฺของท่าน [ฟะตาวา อัช-ชัยคฺ อิบนิบาซ, 5/328]
และฟัตวาในทำนองนี้มีมากมาย ดังนั้น ไม่อนุญาตให้มีการเฉลิมฉลองเนื่องในปีใหม่ของปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชและอื่นๆ ที่เป็นการเฉลิมฉลองที่อุตริขึ้นมา และแท้จริง อัลลอฮฺได้ให้อีดฟิฏรฺและอีดอัฎหาเป็นวันเฉลิมฉลองสำหรับชาวมุสลิมแล้ว
ที่มา : http://www.saaid.net/mktarat/mohram/46.htm